ฉันคิดอยากเขียนเรื่องเพื่อนคนนี้มานานแล้ว
ไม่แน่ใจว่าเธอจะสะดวกใจให้เอ่ยถึงชื่อจริงไหม
จึงขอใช้นามสมมติว่า “ชาร์ลอตต์” แล้วกัน ชาร์ลอตต์เป็นเพื่อนในวัยมัธยมต้นของฉัน
เธอเป็นคนรักการอ่าน มีบุคลิกอ่อนหวาน ไว้ใจโลก และไม่ค่อยมีความคิดในทางลบสักเท่าไหร่
เธอคนนี้เป็นคนแนะนำให้ฉันอ่านนวนิยายซึ่งต่อมากลายเป็นหนึ่งในนวนิยายที่ฉันแสนรักอย่าง ทางรัก และ สายสัมพันธ์ ของโรสลาเรน พร้อมกันนั้นเธอยังชี้ไปที่ชั้นหนังสือในห้องสมุด พลางบอกว่า
“ชุดหนังสือ บ้านเล็กในป่าใหญ่ สนุกมากเลยนะ” แถมเป็นคนที่ทำให้ฉันหันมาลองอ่าน ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ของ วินทร์ เลียววารินทร์
ก่อนที่หนังสือเล่มนี้จะได้รางวัลซีไรต์เสียด้วยซ้ำ
ในวัยมัธยมต้น
นอกจากแลกเปลี่ยนเรื่องหนังสือกันแล้ว
เรายังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องฟุตบอลกันด้วย ใช่! ในวัยนั้น
ความคลั่งไคล้ฟุตบอลของฉันส่งอิทธิพลต่อเธอเช่นกัน ชาร์ลอตต์เริ่มหันมาดูฟุตบอลในช่วงมัธยมสาม
เริ่มแรกเราก็เสพติดนักเตะหล่อๆ ก่อน ต่อมาก็กลายเป็นว่า
ความหล่อทำให้เราดูฟุตบอลสนุกขึ้น พอฉันย้ายโรงเรียนในช่วงมัธยมปลาย
เราก็ยังคงเขียนจดหมายติดต่อกัน
เนื้อความในจดหมายส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับหนังสือและฟุตบอลเสียมาก
แน่นอนว่าในจดหมายเหล่านี้มีชื่อ “เดวิด เบคแคม” ปรากฏอยู่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยครั้ง
ชีวิตมัธยมปลายเป็นชีวิตที่เด็กนักเรียนทุกคนพุ่งเป้าเตรียมเอ็นทรานซ์
ฉันและเธอก็เช่นกัน เพียงแต่เราเลือกเอ็นทรานซ์คนละสายวิชา
ฉันหันเหความสนใจมาที่คณะสายสังคมศาสตร์กับสื่อสารมวลชน
เคยลังเลว่าจะเลือกอะไรเป็นคณะอันดับหนึ่งดี ระหว่า รัฐศาสตร์
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กับ นิเทศศาสตร์ สุดท้าย
ความอยากเป็นภริยานักการทูตก็เอาชนะความอยากเป็นผู้ประกาศข่าว >///<
ขณะที่ชาร์ลอตต์เลือกสอบเข้าคณะเภสัชศาสตร์ ฉันไม่ค่อยได้คุยกับเธอแล้วในช่วงนั้น จึงไม่รู้เหตุผลเชิงลึกว่าทำไมเธอเลือกเอ็นทรานซ์เข้าหมอยา
แทนที่จะเป็นหมอหมา เหมือนนางเอก “ศุลีพร” ในนวนิยาย ทางรัก และ สายสัมพันธ์ ที่เราชอบอ่านกันในช่วงเริ่มต้นวัยรุ่น
ช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยเป็นช่วงชีวิตที่ฉันได้กลับมาติดต่อกับเธออีกครั้ง
เคยแวะไปเยี่ยมเธอที่หอพักสองสามหน ชาร์ลอตต์เล่าให้ฟังว่ากำลังเรียนเทนนิส
และชอบไปทำกิจกรรมที่โบสถ์กับ “เพื่อนฝูง” ในชมรม
เธอเผยไต๋ให้ได้รู้ว่าผู้หญิงผิวขาวอ่อนหวานอย่างเธอนั้นไม่ได้นิยมชมชอบหนุ่มไทยแท้
แต่อ่อนไหวกับผู้ชายตาน้ำข้าวที่พูดภาษาอังกฤษได้ไพเราะสุดๆ ตอนนั้นฉันคิดว่าเธอแค่พูดเล่นตามประสาหญิงสาววัย
20 เดี๋ยวพอเวลาเปลี่ยน ผู้คนในชีวิตเปลี่ยนหน้า เธอก็คงเปลี่ยนความคิดไปเองแหละ
หลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด
ชาร์ลอตต์เข้ามาทำงานเภสัชกรในร้านยาที่มีสาขาเครือข่ายตามห้างสรรพสินค้ามากมายในกรุงเทพฯ
ความที่มีทักษะภาษาอังกฤษดี
ทำให้เธอถูกบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่สาขาซึ่งมีชาวต่างชาติแวะเวียนเป็นลูกค้าไม่น้อยอย่างสาขาสยามดิสคัฟเวอรี่
ตอนนั้นฉันทำงานได้สองปีแล้ว (เพราะฉันสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก่อนเธอ
และฉันก็เรียนแค่สี่ปี จึงจบเร็วกว่า) เช่าหอพักอยู่ใกล้ๆ
ห้างสยามดิสคัฟเวอรี่นั่นแหละ ตกเย็นฉันจึงมักแวะเวียนไปหาเธอเสมอ ความที่เธอเป็นคนอ่อนหวาน
คุยได้กับทุกคน ลูกค้าที่แวะมาซื้อยาจึงชอบเธอมากๆ
บางคนเป็นถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ชอบมาคุยกับเธอ บางคนก็ทำงานอยู่องค์กรใหญ่ๆ
ในตำแหน่งสูงๆ ฉันรู้เรื่องเหล่านี้เพราะคนเหล่านี้มอบนามบัตรให้เธอ แล้วชาร์ลอตต์นำนามบัตรมาให้ฉันดูอีกที
จริงๆ ตอนนั้นเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกค้าแต่ละคนเป็นใครบ้าง
โลกของเธอไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่งและหน้าที่บนนามบัตร เธอแค่รู้สึกว่าใครมาซื้อยาเธอก็คุยด้วย
เธอคุยได้เรื่อยเปื่อย เปิดกว้าง และเปิดใจกับทุกคน นั่นคือเสน่ห์ของเธอ
ในละแวกบ้านเกิด ชาร์ลอตต์กับฉันเป็นเด็กที่ถูกมองว่าเรียนเก่ง
สอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้ ลึกๆ
หลายคนคงคาดหวังว่าเราคงดำเนินอาชีพการงานอันมั่นคง มั่งคั่ง และ
สร้างชื่อเสียงให้ตนเองได้ในไม่ช้า แต่การณ์กลับไม่เป็นไปดังนั้น ทั้งฉันและชาร์ลอตต์เป็นเหมือนพวกที่แหกคอกออกจากกรอบที่ชุมชนเรามอบให้
จริงๆ วิถีที่เราสองคนเลือกก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากที่คนจบปริญญาตรีในกรุงเทพฯ
เลือกกัน เราใช้ชีวิตอย่างเฮฮา มีความสุขและสนุกกับเงินเดือนไม่กี่หมื่น
มีเงินเก็บน้อยๆ แถมโบนัสยิ่งน้อยกว่าน้อย ในช่วงวัย 20 ฉันกับเธอดำเนินชีวิตอย่างนั้นไปเรื่อยๆ
เรียกได้ว่าเรามีวิญญาณเรื่อยเปื่อยสูงยิ่ง ฉันนั้นไม่ค่อยเป็นไรหรอก
เพราะฉันเรียนจบในคณะที่ถึงอย่างไรก็หาเงินเยอะๆ ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ชาร์ลอตต์นั้น
ถ้าหากเธอจะเลือกบริษัทยาขนาดใหญ่ เธอก็คงทำรายได้ได้ถล่มทลาย แต่เหมือนเธอเอาใจออกห่างจากสิ่งเหล่านั้นแล้ว
หลังจากทำงานในร้านขายยาตามห้าง ก่อนจะเปลี่ยนไปทำร้านอื่นซึ่งอยู่ในห้างเช่นเดิม
เวลาว่างเธอก็จะไปเที่ยวเล่นตามสถานที่น่ารักๆ ในกรุงเทพฯ หาเวลาทำเล็บ
ซื้อหนังสือแฟชั่นมาอ่าน พลางเล่นแชทกับเพื่อนต่างชาติอย่างสม่ำเสมอ พอผ่านไปราวๆ
3 ปี เธอก็มีแฟนเป็นต่างชาติตาน้ำข้าว คบหากันสักระยะ ก่อนเข้าสู่กระบวนการเลิกรา
หลังกระบวนการนี้ฉันเห็นเธอเปลี่ยนไปทำงานอีกที่หนึ่ง จริงๆ
มันไม่เกี่ยวข้องกันหรอก มันเป็นแค่จังหวะชีวิตเท่านั้น
แต่งานใหม่ของเธอทำให้ฉันประหลาดใจมาก เพราะคนเรียนจบเภสัชศาสตร์อย่างเธอ
หันมาเป็นพนักงานต้อนรับในคลินิกทำฟันระดับอินเตอร์เนชั่นแนลแห่งหนึ่ง
(ที่นี่มีหมอฟันเซเลบสาวสวยทำงานอยู่) ชาร์ลอตต์บอกว่าชอบงานนี้
เธอได้ใช้ภาษาอังกฤษ ที่ทำงานก็ไม่ไกลหอพัก อยู่ในระยะเดินได้ด้วยซ้ำ แถมรายได้ก็โอเคตามมาตรฐานชนชั้นกลางเมืองหลวง
(แต่ก็น้อยกว่าเป็นเภสัชกรแน่นอน) ตอนนั้นฉันไม่ได้คัดค้านเธอหรอก
แต่อดทึ่งกับการเลือกเส้นทางชีวิตของเธอไม่ได้
พอชีวิตเลยหลักเบญจเพส ฉันกับชาร์ลอตต์ก็ห่างๆ
กันอีกคราว พอได้ข่าวอีกที เธอก็ไปโผล่อยู่ที่ออสเตรเลียแล้ว ชาร์ลอตต์ส่งอีเมลมาเล่าว่าเธอเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนอะไรสักอย่าง
จะอยู่ที่ออสเตรเลียราวๆ 1 ปี ระหว่างนั้นเธอก็เก็บเงินไปด้วย
แล้วพอเธอกลับมาเมืองไทย สักแป๊บเธอก็ไปโผล่อยู่นิวยอร์ก
คราวนี้เธอขอกู้แม่ไปเรียนมินิเอ็มบีเอ เรียนประมาณหนึ่งหรือปีครึ่งนี่แหละ
เป็นคล้ายๆ internship
ไม่ใช่ master’s degree แต่อย่างใด เธอบอกว่าจริงๆ
ก็เรียนเหมือนกัน
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นลงเรียนปริญญาโทจะต้องใช้เงินมากขึ้นกว่าเดิมอีกราวๆ 7 แสนบาท
เธอไม่มีเงินขนาดนั้น หลังจากลัลลาในเมืองแอปเปิลผลใหญ่ได้สักระยะ
เธอก็กลับมาเมืองไทยเมื่อช่วงมีนาคมที่ผ่านมานี้เอง
ปีนี้ทั้งฉันและเธออายุ 31 ปี ต่างยังไม่ลงหลักปักฐานทั้งด้านการงานและชีวิตคู่
สิ่งนี้ดูจะเป็นเรื่องที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับครอบครัวพวกเราไม่น้อย ตอนนี้ฉันกลับมาปักหลักอยู่บ้าน
เขียนนิยายมา 5 เดือน แต่ดูเหมือนความสำเร็จยังดูห่างไกลยิ่งนัก
ฉันปราศจากพรสวรรค์ มีเพียงพรแสวง ซึ่งนั่นยังคงไม่เพียงพอหรอก
ฉันยังต้องทำงานหนักกว่านี้อีกเยอะ ฉันรู้ดี ส่วนชาร์ลอตต์นั้น
เธอไม่อยากทำงานเภสัชอีกแล้ว แม่เธอให้รับราชการที่โรงพยาบาลใกล้บ้านเธอก็ไม่เอาด้วย
เธอบอกว่า หลังการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่หลายปี
ทำให้เธอกลายเป็นคนเมืองอย่างสมบูรณ์แบบ เธอไม่รังเกียจชนบท
แต่ตอนนี้เธอคิดภาพตัวเองทำงานที่บ้านไม่ออก เธอขอเข้าไปเป็นสาวสวยวัย 31
ในเมืองใหญ่แล้วกัน
จากนั้นเธอก็เข้ากรุงเทพฯ มาทำงานเป็นล่ามให้กับโครงการที่ส่งทหารอเมริกันเข้ามายังเมืองไทย
ค่าตอบแทนถือว่าไม่น้อย แต่ลักษณะงานสัญญาระยะสั้น เธอทำงานนี้สองเดือน พอหมดสัญญาก็เริ่มหางานใหม่โดยสมัครเข้ายังหน่วยงานที่คล้ายๆ
หอการค้าระหว่างยุโรปและอาเซียน เป็นองค์กรที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก งานนี้เป็นสัญญาสองปี
เงินเดือนคือครึ่งแสน แต่ถ้าเทียบว่าอายุ 31 ปี
งานนี้ก็ไม่ได้ถือว่าให้ความมั่งคั่งหรือมั่นคงอะไรหรอกนะ (เพราะสัญญาสองปี) ชาร์ลอตต์ยังทำงานนี้ไม่ถึงสองสัปดาห์ดี
เธอเล่าให้ฉันฟังทางโทรศัพท์ว่า “ที่นี่มีแต่คนที่จบคณะรัฐศาสตร์หรืออักษร
แถมทุกคนจบปริญญาโทหมดแล้ว ภาษาอังกฤษดีเลิศเลอทุกด้าน บางคนจบปริญญาโทสองใบ
บางคนพูดภาษาที่สาม สี่ ห้า ได้ดีเหมือนเกิดที่นั่นด้วยซ้ำ”
ฉันคิดภาพองค์กรที่เธออยู่ออก เธอคาดคะเนให้ฉันฟังว่า น่าจะได้งานนี้เพราะจบเภสัชศาสตร์
ยุโรปเป็นทวีปที่มีบริษัทยาชื่อดังอยู่มาก
แล้วบริษัทยาเหล่านี้ก็เข้ามาทำธุรกิจที่อาเซียนกันเยอะแยะ
การมีบุคคลที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ แถมยังจบเภสัชศาสตร์ในองค์กร จะช่วยให้การประสานงานราบรื่นด้วยดีเป็นแน่
น่าแปลกที่สาขาวิชาที่เธอปฏิเสธนั้นกลับเป็นสิ่งที่ทำให้เธอได้งานในหน่วยงานนานาชาติที่เธอต้องการเสียอย่างนั้น
ชาร์ลอตต์สนทนากับฉันผ่านสายโทรศัพท์ว่า
ตอนนี้เราสองคนก็เพิ่งเริ่มต้นชีวิตกันเนอะ เพราะพอมองย้อนกลับไปในช่วงวัย 20
กว่าๆ
เราก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะก่อร่างสร้างอาชีพอย่างเป็นจริงเป็นจังเหมือนที่คนอื่นเขาทำกันเลย
ฉันเห็นด้วยกับเธอ ว่าเราสองคนเริ่มต้นปักหลักช้ากว่าคนอื่น แต่ทุกอย่างก็เป็นการเลือกของพวกเราเอง
เราเลือกสิ่งที่เราคิดว่าเราสนุก เราสุข เราหัวเราะ ในวัยอย่างนั้น
เราอยากพาตัวเองไปเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง
โดยหวังว่าชีวิตจะได้ตกตะกอนแล้วมีคำตอบที่ชัดมากขึ้น
ถึงวันนี้คำตอบของพวกเราก็ชัดแล้วล่ะ เราเป็นแค่คนธรรมดาเหมือนคนอื่นๆ
ที่กำลังต่อสู้ในโลกทุนนิยมเสรีใบนี้ เรากอดเกี่ยวความฝันของเรา
โดยหวังว่ามันจะเป็นจริงในไม่ช้า ตอนท้ายของบทสนทนา เราต่างให้กำลังใจกันและกัน ฉันไม่รู้จริงๆ
นะว่า ต่อแต่นี้ไป ชีวิตในช่วงเลข 3 ของฉันและเธอ จะประสบความสำเร็จไหม
เราจะเป็นเหมือนเจ.เค.โรวลิ่ง หรือเปล่า ที่กว่าจะพบเจอสิ่งนั้นก็ต้องตกงาน
หย่าร้าง ทะเลาะตบตีกับชีวิตอย่างหนักหน่วงเสียก่อน
แต่เอาเถอะ...เรามีประสบการณ์เป็นกระบุงโกย มีความสวยสง่าที่มากับวัย
:) มีเทคนิคเด็ดๆ ไว้รับมือกับชีวิตตั้งมากมายอย่างที่ผู้หญิงวัยเลข 2 ไม่มี
แม้สิ่งเหล่านี้จะมาเยือนพร้อมกับไฝฝ้าและรอยตีนกาก็เหอะนะ
>///<
ลงชื่อมิแรนด้า
ฮอบส์