ฉันคิดว่าฉันรู้จักน้องออมในตอนที่ตัวเองเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วนะ
ตอนนั้นฉันเพิ่งเรียนจบหมาดๆ
ได้งานทำในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บุคคลในองค์กรหนึ่งย่านสาธร เป็นงานที่ไม่เลวในสายตาของหลายคน
เพราะองค์กรที่ทำตอนนั้นมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเข้ายากสุดๆ แห่งหนึ่ง (จริงๆ
มันเป็นมายาคติน่ะ)
ฉันทำงานแล้วก็รู้สึกเบื่อๆ
เลยลงเรียนเขียนบทและการแสดงกับพี่ที่เคยช่วยทำละครเวทีกันมาก่อน
ในคลาสเรียนทุกวันเสาร์อาทิตย์นี่เองที่ฉันได้เจอน้องออม นิสิตสาวที่อยู่ๆ
ก็ถามฉันว่า “พี่ที่เคยทำละครเวที Hamburger Mob รึเปล่าคะ?” จากนั้นเราก็คุยอะไรกันอีกเล็กน้อย
ต่อมาภายหลังฉันก็พบว่าน้องออมสนิทสนมกับเพื่อนสนิทของฉันเป็นอย่างยิ่ง นาเดีย-เพื่อนสนิทคนนี้เองที่เชื่อมโยงให้ฉันกับน้องออมได้เจอและพูดคุยกันบ่อยๆ
จากนั้นฉันก็เปลี่ยนงาน
หันมาเริ่มต้นอาชีพคนทำนิตยสาร ช่วงนั้นวุ่นๆ กับอะไรจิปาถะ
จนทำให้ไม่ค่อยได้เจอน้องออมสักเท่าไหร่ แต่แปลกตรงที่ถ้าบังเอิญเจอกันตามห้าง (ซึ่งนานๆ
จะเจอครั้ง) เรามักจะชวนกันไปจิบกาแฟ พูดคุยในหัวข้อที่สาวโสดไฟแรง
(และไร้เดียงสาต่อโลก) มักจะคุยกัน เราคุยกันเรื่องเส้นทางอาชีพ ปรัชญาความรัก
ความสัมพันธ์ของคนรอบข้างที่เราได้เรียนรู้ นักเขียนที่เราชื่นชอบ
ถึงจะบังเอิญเจอกันไม่กี่ครั้งในรอบปี
แต่แปลกที่เรามักจะคุยกันยาวและต่อกันติดเสมอ
จากนั้นฉันก็ทำนิตยสารมาเรื่อยๆ
ขณะที่น้องออมก็เปลี่ยนจากการทำงานในวงการละครเวที ไปสู่วงการเพลงไทย
น้องออมเป็นคนน่ารัก มีทักษะด้านการรวมคนได้อย่างยอดเยี่ยม
ตอนนั้นออมได้เข้าไปดูแลวงดนตรีลาววงหนึ่งที่กำลังดังในไทย
ค่ายเพลงที่ลาวเห็นแววว่าออมมีความสามารถด้านการจัดการ
จึงชวนออมไปทำงานด้วยที่เวียงจันทร์
ที่นั่นออมถือเป็นเจ้าแม่ในวงการดนตรีสมัยใหม่ของลาวก็ว่าได้
ช่วงนั้นฉันมักจะแซวน้องออมบ่อยๆ ว่าเป็น “พี่ฉอดแห่งวงการเพลงลาวไปเสียแล้ว” อิทธิพลของออมในตอนนั้นประมาณนั้นเลยแหละ
ต่อมาออมก็กลับมาอยู่เมืองไทย
มาทำประสานงานให้ค่ายเพลงสักค่าย ก่อนจะกลับไปช่วยที่บ้านที่เชียงรายดูแลสวนส้ม
และธุรกิจทางเหนือ ขอบอกว่าโปรไฟล์ทางบ้านของออมไม่ใช่ธรรมดา ออมเป็นคนที่ถ้าอยากจะไปเรียนต่อโทและเอกที่เมืองนอกก็ทำได้ไม่ยากเลย
แต่ออมก็เลือกจะทำงานและทำสิ่งที่คิดว่าตนเองรักอยู่ที่เมืองไทย ...
เป็นสิ่งที่ตอนนั้น
คนซึ่งอยากไปเรียนต่อเมืองนอกเมืองนาอย่างฉันยอมรับว่าไม่เข้าใจวิธีคิดของออมเลย
จากนั้นเราก็ห่างๆ
กันไป นานๆ จะเจอกันครั้งหนึ่ง จนฉันย้ายกลับมาอยู่บ้านนอก
และออมย้ายจากเชียงรายกลับมาอยู่กรุงเทพฯ อีกหน ออมบอกว่าอยากเปิดโรงเรียนอนุบาล
... นี่ไม่ใช่ความฝันเพ้อเจ้อแต่อย่างใด เพราะออมเรียนจบครุศาสตร์ ปฐมวัย
มาเชียวนะ ออมน่ะรับมือกับเด็กๆ ได้สบายมาก แถมเธอยังมีปณิธานแรงกล้าว่าอยากทำงานสายนี้เพราะเป็นการปูรากฐานให้กับชีวิตคนคนหนึ่ง
ตอนนั้นฉันเอาใจช่วยออมอยู่ห่างๆ จนต่อมารู้ว่า
โครงการเปิดโรงเรียนของออมหยุดชะงัก
เพราะเพื่อนร่วมคิดเปลี่ยนใจไปทำงานประจำในองค์กรใหญ่ “ชีวิตสาวออฟฟิศเปี่ยมสีสันดึงดูดใจเพื่อนมากกว่า” ออมเล่าให้ฟังในวันหนึ่ง
ฉันกลับไปเจอออมอีกทีในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
การลงกรุงเทพฯ หนนั้น ฉันนัดหมายว่าจะคุยเรื่องจิปาถะกับออมเช่นเคย
แต่เพียงไม่กี่วันก่อนฉันจะไปเจอออม ฉันได้มีโอกาสสัมภาษณ์พี่โรส แห่งเรนโบว์ รูม
ซึ่งเป็นศูนย์สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับเด็กที่มีภาวะความต้องการพิเศษ ฉันประทับใจพี่โรสมานานแล้ว
เฝ้ารอโอกาสที่จะได้สัมภาษณ์พี่โรสมาตลอด พอสบช่อง
นิตยสารเขาไฟเขียวให้พูดคุยกับพี่โรสได้ ฉันก็ลุยเลย เป็นการพูดคุยที่ฉันประทับใจและยังจดจำมาจนถึงทุกวันนี้
แล้วถัดมาอีก
3-4 วันฉันก็นัดจิบกาแฟกับน้องออม เราคุยกันหลากหลายประเด็นมาก
ตั้งแต่เรื่องน้ำท่วมเมื่อปีกลาย เส้นทางชีวิตที่กำลังก้าวเดินไปในวัย 30 ความฝันใฝ่ที่เราอยากทำให้เป็นจริง
จนสักพักเราก็คุยกันเรื่องโรงเรียนอนุบาล และเด็กๆ แล้วอยู่ๆ
ฉันก็เล่าเรื่องที่เพิ่งไปคุยกับพี่โรสแห่งเรนโบว์ รูม ให้ออมฟัง
ออมก็เล่าถึงพี่เกี้ยว พงษ์ไพบูลย์ (ลูกสาวคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)
ซึ่งออมได้รู้จักจากการทำงานละครเวทีให้ฟังว่า พี่เกี้ยว ก็เคยเล่าถึงเรนโบว์ รูม
ไว้ แล้วในตอนนั้น เรานั่งคุยกันอยู่ย่านอารีย์
ซึ่งมีร้านหนังสือของพี่เกี้ยวอยู่แถวนั้น พอพี่เกี้ยวเดินผ่านมา
เราเลยเดินเข้าไปสวัสดี พอคุยกันถึงเรื่องเรนโบว์รูม
พี่เกี้ยวก็บอกว่าสนิทสนมกับพี่โรส เห็นว่าพี่โรสต้องการคนมาช่วยทำงานอีก 1 คน
ซึ่งด้วยความพอเหมาะพอเจาะทั้งหมด ทั้งออมชอบทำงานกับเด็ก
ออมเก่งด้านประสานงานกับบุคคล ออมจบปฐมวัยมา
พี่เกี้ยวจึงโทรแนะนำออมให้พี่โรสรู้จัก โดยใช้ประโยคว่า “ฉันมีนางฟ้ามาให้เธอ”
วันรุ่งขึ้น
ฉัน ออม นาเดีย (อดีตคนในวงการละครเวทีที่ผันตัวมาทำงานพีอาร์) และน้องฝ้าย
(รุ่นน้องของออมที่ครุศาสตร์) ก็แวะไปเรนโบว์รูม พี่โรสกับออมคุยกันได้เข้าขามากๆ
ฉันคิดว่าพี่โรสมองออกว่าออมเหมาะกับการทำงานที่นี่ ในการพบกันหนนั้น
พี่โรสเชื้อเชิญออมให้ลองมาทำงานด้วยกันดูสัก 1 สัปดาห์
ลองดูว่าสุดท้ายออมจะชอบจริงไหม หลังการเชื้อเชิญหนนั้นฉันไม่ได้ตามข่าวออมอีกเลย
เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องกลับต่างจังหวัดและจัดการเรื่องส่วนตัว
พอรู้ตัวอีกทีก็ต้นเดือนกรกฎคมแล้ว เดือนนั้นนั่นเองที่ฉันคิดถึงออม
จึงส่งข้อความไปถามไถ่
ออมเล่าว่า
ตอนนี้ออมได้เข้าไปทำงานในตำแหน่ง Communication Manager ที่เดอะเรนโบว์รูมแล้ว
ออมมีความสุขกับงานมาก จริงๆ ด้วยศักยภาพของออม
ออมสามารถก้าวไปทำงานในองค์กรใหญ่โต เม็ดเงินสูงได้ แต่ออมเลือกจะไม่ทำ
ออมค้นพบว่าตัวเองอยากทำงานกับเด็ก และในอนาคตก็คงเปิดโรงเรียนอนุบาลให้จงได้
เป็นความฝันที่ฉันยังคงเอาใจช่วยออมเสมอ ออมทำได้แน่ๆ ...
ในสักวันหนึ่งอันใกล้นี้แหละ
ตอนที่ฉันเจอออม
เราทั้งคู่ต่างยังคงมีด้านที่ไร้เดียงสาต่อโลก
ตอนนี้ฉันพูดไม่ได้เต็มปากว่าเรายังคงเป็นผู้หญิงในวันก่อนไหม แต่ขณะเดียวกัน
เราก็ยังเป็นคนที่มีความฝันใฝ่และกำลังพยายามทำมันให้ได้ดีอยู่
ความฝันของออมตอนนี้คือได้อยู่กับเด็กและพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นผ่านองค์ประกอบเหล่านี้
เป็นจุดยืนอันแน่วแน่ที่ฉันชื่นชม หลงรัก และอยากบอกว่าออมกล้าหาญและสง่างามมาก
มันคงเป็นความกล้าหาญและสง่างามที่วันและวัยมอบให้แก่เราทุกคนแหละมั้ง...คิดว่านะ
No comments:
Post a Comment