Tuesday, August 07, 2012

[งานแปล] Provocative Feature : หรือการมีชู้เป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้


[งานแปล]




Women's Health Thailand
Issue : July 2011
เรื่อง Meghan Rabbitt   /  แปลและเรียบเรียง Tiktok  /  ภาพ Rodale








หรือการมีชู้เป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้?

                เจ้าชู้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เรื่องราวการนอกใจที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมได้ก่อให้เกิดคำถามว่า “หรือการมีคู่สมรสเพียงคนเดียว ได้กลายเป็นสิ่งล้าสมัยและใกล้สูญพันธุ์ไปเสียแล้ว?” Women’s Health ลองสำรวจแรงขับทางชีวภาพของคนในยุคนี้  เพื่อทำความเข้าใจกับความรัก, การมีกิ๊กในเฟซบุ๊กของคนทั่วไป, และค้นหาคำตอบว่า การซื่อสัตย์รักเดียวใจเดียวนั้น ยังหลงเหลืออยู่ไหมในสังคม

                ในยุคที่สิ่งยั่วเย้ามีอยู่รอบตัว การนอกใจดูจะกระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอเมริกา บ้านเกิดของซาร่า (นามสมมติ) วัย 35 ปี ผู้มีการงานอันแสนมั่นคง รวมถึงมีครอบครัวที่ดูภายนอกก็สุขสันต์ดี แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ซาร่าก้าวเข้าไปเล่นสนุกกับภาวะนอกใจ? แล้วเธอพบเจออะไรหลังจากนั้น? ลองมาติดตามดูกัน
               
                สองทุ่มคืนวันอังคาร ซาร่าก้าวย่างเข้าไปในบาร์ของโรงแรมที่เธอเดินทางมาประชุมงาน เธอเพิ่งวางสายจากสามีไปเมื่อตะกี้ หลังจากคุยสารทุกข์สุขดิบว่าลูกสาววัย 6 ขวบเป็นอย่างไรบ้าง พอคุยจบเธอก็หมดแรง วันนี้เป็นวันประชุมงานอันยาวนาน เธออยากจิบไวน์โซวีญองเติมพลังให้ชีวิตตั้งแต่เที่ยงวันนู่นแล้ว

                ซาร่ามองไปรอบๆ บาร์ สายตาประสานเข้ากับเบน เพื่อนร่วมงานวัย 42 ปี หนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่เธอมักเล่นหูเล่นตาด้วยบ่อยๆ ทั้งคู่มักเจอกันเวลาไปประชุมต่างเมืองเสมอ ซาร่ารู้สึกหวิวๆ เมื่อเห็นหนุ่มใหญ่คนนี้ และก่อนที่เธอจะทันรู้ตัว เบนก็เลื่อนเก้าอี้สตูลและเชื้อเชิญให้เธอนั่งลงข้างๆ เขา พร้อมถามว่าจะดื่มอะไรดี ฉับพลันซาร่ารู้สึกตื่นเต้นซู่ซ่า เพราะตัวรับโดพามีนในสมองเริ่มถูกปลดปล่อย ทำให้สารโดพามีน, เฟนิลไทลามิน, และอ็อกซิโตซิน หลั่งไปทั่วร่าง (สมองส่วนนี้คือศูนย์ควบคุมความสุข ทำให้คนเรารู้สึกบันเทิงเริงรมย์) เธอตัดสินใจนั่งลงข้างๆ เขา จากนั้นก็เริ่มหยอกเอินและแทะโลมกันอย่างที่เคยทำบ่อยๆ  ว่าแต่ว่า นี่ซาร่ากำลังนอกใจสามีที่แต่งงานกันมา 10 ปีหรือเปล่านะ? อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจ เพราะเรื่องราวยังไม่จบแค่นี้ค่ะ



สถิติฟ้อง คนเรามีชู้มากขึ้น

จากการสำรวจ General Social Survey ของอเมริกาในปี 2006 (จัดทำโดย University of Chicago โดยได้รับเงินทุนวิจัยจาก National Science Foundation) พบว่า คนส่วนใหญ่มักขึ้นเตียงกับคู่รักของตนมากกว่าปล่อยตัวไปกับคนอื่น โดยผลสำรวจชี้ว่า มีผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเพียง 15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ยอมรับว่ามีชู้ ส่วนชายที่นอกใจภรรยามีจำนวน  20 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเรานำสถิตินี้ไปเปรียบเทียบกับข้อมูลย้อนหลัง จะพบว่าผู้หญิงอเมริกันนั้นนอกใจมากขึ้น ทั้งนี้ในปี 1991 มีผู้หญิง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ยอมรับว่ามีชู้ ส่วนผู้ชายนอกใจ 21 เปอร์เซ็นต์ ทว่านักวิจัยคาดว่า จำนวนของคนที่มีชู้นั้น น่าจะมากกว่าผลสำรวจที่ทำไว้
                ฟังดูอาจไม่น่าแปลกใจและตกใจเท่าไหร่ เพราะในสังคมอเมริกันในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาก็มีข่าวคราวคนดังนอกใจคู่รักบ่อยมากทีเดียว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ไทเกอร์ วู้ดส์ หรือล่าสุดคือ อาร์โนลด์ ชวาลเซเนกเกอร์ นอกจากนี้เรายังได้เห็นคนทั่วไปที่นอกใจคนรักด้วยการมีกิ๊กในเฟซบุ๊ก เหมือนว่าสังคมอเมริกันกำลังถลำเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการนอกใจ สิ่งเหล่านี้ชวนสงสัยมากว่า เราก้าวเดินมาถึงจุดที่การรักเดียวใจเดียวกลายเป็นเรื่องเพ้อฝันมากกว่าสิ่งที่ทำได้จริงแล้วเหรอ?








พลัดหลงในวังวนนอกใจ

                บางทีการนอกใจอาจเกิดจากดีเอ็นเอของเราก็ได้ เพราะนักวิทยาศาสตร์แห่ง University of Texas เมืองออสติน เพิ่งค้นพบว่า ในการศึกษาผู้หญิงอายุ 17-30 ปี ที่มีระดับฮอร์โมนเอสตราดิออล (Estradiol คือฮอร์โมนเอสโตรเจนชนิดหนึ่งที่สร้างโดยรังไข่ ที่ทำให้สาวๆ มีคุณสมบัติแบบหญิงๆ ดึงดูดใจชาย เช่น มีโหนกแก้มสูง โครงหน้าสมมาตร และทรวดทรงโค้งเว้าแบบนาฬิกาทราย) สูงนั้น มีแนวโน้มที่จะหว่านเสน่ห์ จูบ และมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวแบบจริงจังกับชายคนอื่นที่ไม่ใช่คู่รักของตัวเอง มากกว่าสาวๆ ที่มีระดับฮอร์โมนเอสตราดิออลต่ำกว่า

                “สำหรับสาวๆ ที่มีฮอร์โมนเอสตราดิออลสูงกว่านั้น สมองจะบอกพวกเธอว่า คุณฮอตจะตาย คุณช่างเต็มไปด้วยเสน่ห์แบบหญิงสาวที่ชายหนุ่มอยากได้ คุณสามารถได้ชายหนุ่มที่หล่อสุดๆ รวยสุดๆ แล้วรอช้าอยู่ทำไมล่ะ?” ดร.คริสตินา ดูแรนเต้ (Kristina Durante) นักวิจัยผู้ช่วยหลังปริญญาเอกประจำ University of Minnesota และหนึ่งในทีมศึกษา เผยให้ฟัง “มันไม่ใช่ว่าการมีฮอร์โมนเอสตราดิออลสูงจะทำให้ผู้หญิงมีชู้ไปทั่ว แต่มันจะกระตุ้นเธอโดยไม่รู้ตัว ให้เธอเปิดโอกาสแก่ชายคนใหม่ที่ผ่านเข้ามาอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเธอกำลังไม่โอเคกับคู่รักอยู่”

                แน่นอนที่สุด ชีววิทยาเป็นแค่ส่วนหนึ่งในสมการเคมีนอกใจนี้เท่านั้น ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าสาวๆ ทุกคนที่นอกใจคนรัก จะมีระดับเอสตราดิออลสูงเสียหน่อย เพราะ เวนดี้ วัย 35 ปี ซึ่งเป็นอาจารย์ระดับวิทยาลัยที่เมืองนิวยอร์ก อเมริกา ผู้มีรูปร่างหุ่นแข็งทื่อ และขาดคุณสมบัติโค้งเว้าเย้ายวนแบบหญิงๆ (อันเป็นคุณสมบัติที่ฮอร์โมนเอสตราดิออลสร้างขึ้น) ยังนอกใจแฟนหนุ่มที่อยู่กินด้วยกันในปัจจุบัน ด้วยการไปหลับนอนกับแฟนเก่าเสียงั้น

                “การมีเซ็กซ์กับแฟนเก่าลับหลังแฟนคนปัจจุบันนั้น เหมือนการหลบหนีจากชีวิตจำเจที่ฉันอาศัยอยู่” เธอกล่าว “อีกอย่าง เซ็กซ์ที่มีกับแฟนหนุ่มก็ไม่ใช่ว่าจะดียอดทุกครั้งไป ขณะที่เซ็กซ์กับแฟนเก่านั้น เร้าใจมาก”

                นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่เผยให้เรารู้ว่า เรามักถูกดึงดูดโดยคนที่มีกลิ่นเฉพาะตัวแตกต่างจากเรา ยิ่งกลิ่นเฉพาะตัวของคุณไม่เหมือนหนุ่มคนไหนมากเท่าไหร่ เขาจะยิ่งมีเสน่ห์ทางเพศต่อคุณมากเท่านั้น ทั้งนี้เมื่อเราสัมผัสกลิ่นที่แตกต่างของชายหนุ่ม เราจะจินตนาการโดยไม่รู้ตัวว่าเราสามารถมีลูกที่สุขภาพดีและหน้าตาน่ารักกับเขาได้ ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ก็ทำให้นักวิทยาศาสตร์แห่ง University of New Mexico อยากรู้เพิ่มเติมว่า แล้วถ้าคู่รักมียีนกลิ่นที่คล้ายกันล่ะ จะส่งผลอะไรต่อความลงรอยในด้านเซ็กซ์ของพวกเขาไหม? นักวิทยาศาสตร์เลยศึกษาคู่รักต่างเพศ 48 คู่ ที่อยู่ด้วยกันอย่างน้อย 2 ปี สอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวเซ็กซ์ของพวกเขา และทดสอบความเข้ากันได้ของยีน แน่นอนที่สุดว่า ยิ่งสาวๆ มียีนเหมือนกับคู่รักของเธอแค่ไหน เธอก็ยิ่งเอ็นจอยเซ็กซ์กับคนรักได้น้อยเท่านั้น แถมยังมีแนวโน้มที่จะตอบแบบทดสอบว่ามีชู้หรือเคยนอกใจมากขึ้นด้วย

                ส่วนงานศึกษาชิ้นอื่น ได้เผยให้เห็นว่า ชายบางคนนั้นมีความโน้มเอียงด้านกายภาพในการที่จะนอกใจมากกว่าหนุ่มอื่น นักวิจัยสวีเดนได้พบว่า ชายหนุ่มที่มีตัวรับของฮอร์โมนวาโซเพรสซินน้อย (Vasopressin เป็นสารสื่อนำประสาทที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกผูกติด และต้องการปกป้องคู่รัก) หนุ่มคนนั้นจะยิ่งมีแนวโน้มจะออกไปมีเซ็กซ์อันหลากหลายกับคนอื่นและนอกใจได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ชายที่ได้รับระดับฮอร์โมนเพศเทสโทสเตอโรนสูงตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์ จะยิ่งมีโอกาสนอกใจไปมีชู้สูงขึ้น คุณหมอดาเนียล จี. อาเมน (Daniel G. Amen) จิตแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจินตนาการสมองและเจ้าของหนังสือ Change Your Brain, Change Your Body เผย (พูดให้ง่ายเข้า ถ้าหนุ่มของคุณได้รับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนตอนอยู่ในท้องแม่เยอะ นิ้วนางของเขาจะยาวกว่านิ้วชี้ ดังนั้นลองเช็คนิ้วมือของหนุ่มข้างกายคุณดูเลยค่ะ ถ้านิ้วนางยาวกว่า ระวังความเจ้าชู้มาเยือน)

                เมื่อเป็นดังนี้ เหล่าตัวชี้วัดทางชีววิทยาสำหรับการนอกใจในหญิงและชายก็ถือว่าเหนือการควบคุมเลยล่ะสิ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ก็ยังไม่มียา (ในตอนนี้) ที่จะลดระดับเอสตราดิออลในผู้หญิง หรือเพิ่มระดับวาสโสเพรสซินในผู้ชายได้ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้คนในปัจจุบันนอกใจมากขึ้น ในยุคที่คนเรามีไลฟ์สไตล์เร่งด่วน (ได้รับข้อมูลเร็วๆ จากสมาร์ทโฟน) ดูเหมือนพวกเรากำลังใช้งานศูนย์ควบคุมความสุขในสมองอย่างหนักเกินไป (เพราะเราเสพข้อมูลบันเทิงนั่นนี่ได้อย่างเร่งด่วน) มันเลยส่งผลให้เราต้องใช้เวลานานมากขึ้นกว่าที่จะรู้สึกพึงพอใจกับคนใกล้ตัว รวมถึงความอยากด้านเซ็กซ์ด้วย

                “ในบางมุม การที่เราอยู่ในยุคที่ถูกกระตุ้นมากเกินไป ได้ข้อมูลรวดเร็วทั้งจากมือถือและอินเตอร์เน็ต จะดูหนังโป๊ก็แค่คลิกออนไลน์ การเจออย่างนี้ได้ทำให้ระบบความสุขสมในสมองถูกทำลาย และฉกฉวยความสามารถที่เราจะชื่นชมอิ่มเอมกับสิ่งธรรมดาๆ ไป” ดร.อาร์คิบอลด์ ดี. ฮาร์ต (Archibald D. Hart) นักจิตวิทยาผู้เขียนหนังสือ Thrilled to Death: How the Endless Pursuit of Pleasure Is Leaving Us Numb กล่าว

                ลิซซี่ คุณครูสาววัย 31 ปีในไซราคูส นิวยอร์ก อเมริกา บอกว่า เธอเชื่อว่า นี่แหละคือปัจจัยหลักที่ทำให้แฟน (เก่า) ทิ้งเธอไป “เว็บโป๊มีอยู่ทั่วไป คลิกดูได้ง่ายมาก” เธอกล่าว “ถ้าแฟนของฉันไม่ได้ทำการสำเร็จความใคร่อย่างเร่งด่วนกับเว็บโป๊ แล้วหันมามาใช้พลังงานทั้งหมดกับเรื่องบนเตียงของเราในตอนเย็นที่ฉันกลับมาถึงบ้าน ฉันคิดว่า เขาจะเอ็นจอยมีเซ็กซ์กับฉัน และมีแนวโน้มที่จะมีชู้ได้น้อยกว่านี้ เป็นเพราะว่าเขาดูเว็บโป๊เหล่านั้น และสมองก็เริ่มวาดฝันอย่างหนัก เขาเริ่มเปรียบเทียบท่วงท่าเซ็กซ์ของเรากับสิ่งที่เห็นในโลกออนไลน์ เมื่อมันเทียบกันไม่ได้เขาเลยไม่พอใจ” และเมื่อเธอพาเขาไปถึงจุดที่ต้องการไม่ได้ มันก็มาถึงจุดที่ว่า “เขาค้นพบว่า เขาคงต้องไปหาสิ่งนี้จากคนอื่นแทน”



เดินทางเข้าสู่อาณาจักรแห่งการนอกใจ

                กลับสู่กรณีของ ซาร่า และ เบน ไม่ว่าซาร่าจะมีระดับเอสตราดิออลอยู่ในร่างกายสูง (เพราะเธอมีหุ่นฮอตและสวย) หรือว่าเบนจะมีตัวรับวาสโสเพรสซินในสมองน้อย (ซาร่าสังเกตเห็นว่า เขาดูเจ้าชู้ทีเดียว) แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ เมื่อพวกเขานั่งลงข้างกันในบาร์ พวกเขาก็เริ่มยั่วยวนและหว่านเสน่ห์ใส่กันทันที เบนบอกซาร่าว่าเขาคิดว่าเธอเร่าร้อนมากเวลาที่รวบผมขึ้นและยึดมันไว้ด้วยดินสอ ขณะที่ซาร่ายอมรับว่า เธอจินตนาการถึงการมีเซ็กซ์กับเขาในออฟฟิศหลังเวลาเลิกงาน

                ตอนที่เบนขอตัวไปเข้าห้องน้ำ มือของเขาก็แตะแขนของเธอ ตอนนั้นเธอดื่มค็อกเทลไปแล้วผิวของเธอเลยอ่อนไหวต่อสัมผัสนั้นเป็นพิเศษ เธอรู้สึกซู่ซ่าไปทั่ว พร้อมเริ่มจินตนาการว่าได้จูบเขา กลับห้องพักด้วยกัน ปล่อยให้เขาถอดเสื้อผ้าเธอออก เธอรู้สึกใจร้อนมากกว่าที่เคย เธอเลิกคิดเกี่ยวกับสามีคนที่นั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านอยู่กับลูกสาวเสียแล้ว

                เหตุผลที่ทำให้ซาร่าเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ ก็คงเหมือนกับผู้หญิงหลายคนในวัยเดียวกับเธอ เพราะพวกเธอทำงานนอกบ้าน “สมัยก่อน ผู้หญิงจะเลิกทำงานเมื่อแต่งงาน” เฮเลน ฟิชเชอร์ (Helen Fisher) นักมานุษยวิทยาแห่ง Rutgers University และเจ้าของหนังสือ Why Him? Why Her? กล่าว “ถ้าสามีเธอมีภรรยาน้อย เธอจะต้องหาหนทางอื่นหรือสูญเสียทุกอย่างที่ทำให้เธออยู่รอดได้ แต่ปัจจุบัน สาวๆ มีอำนาจทางเศรษฐกิจมากขึ้น และนั่นเองที่ทำให้พวกเธอมีเสรีภาพด้านเซ็กซ์มากขึ้น”
                เทคโนโลยีก็ส่งผลทำให้ผู้หญิงรู้สึกถึงอำนาจที่มากขึ้นเช่นกัน “แน่ชัดว่า เทคโนโลยีได้มีผลต่อการที่ผู้หญิงนอกใจมากขึ้น” ทาร่า พาร์คเกอร์-โป๊ป (Tara Parker-Pope) ผู้สื่อข่าวด้านวิทยาศาสตร์แห่ง New York Time และผู้เขียน For Better: The Science of a Good Marriage กล่าว “มันสร้างโอกาสใหม่ๆ มากขึ้น เมื่อคุณเปิดโอกาสใหม่ๆ คนเราก็อยู่ในจุดที่จะนอกใจได้มากที่สุด” เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็คุยกับกิ๊กในเฟซบุ๊กทั้งนั้น แถมในอเมริกานั้น ยังมีเว็บพวก AshelyMadison.com ที่ไว้บริการพวกคนแต่งงานที่อยากนอกใจอีกต่างหาก (ตายแล้ว!) ตอนนี้โอกาสในการนอกใจนั้นอยู่รอบตัวเรามาก แค่ปลายนิ้วคลิกจริงๆ







ความคาดหวังที่มากเกินไป

                แล้วมันมีอะไรมากกว่านี้หรือเปล่านะ? แน่นอนว่า ในการเลือกจะมีชู้ มันต้องมีอะไรมากกว่าฮอร์โมนเพศที่ส่งผลแน่ๆ ทั้งนี้ เราพบว่า แม้แต่ในผู้หญิงที่มียีนซึ่งโน้มเอียงให้มีชู้สูง ก็ยังเริ่มต้นคิดนอกใจเพราะมีปัญหากับคู่รัก ดังนั้นความไม่ลงรอยระหว่างคู่ครองจึงเป็นเหตุตั้งต้นสำคัญ แต่ว่า แล้วทำไมจำนวนของสาวอเมริกันที่มีปัญหากับคู่รักจึงได้เพิ่มขึ้นทุกวันล่ะ? อะไรคือเหตุผลเบื้องหลังนะ

                แบรด วิลคอกซ์ (Brad Wilcox) ผู้อำนวยการของ National Marriage Project แห่ง University of Virginia อเมริกา ได้ให้คำตอบกับเราว่า สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาก็คือ พัฒนาการของสิ่งที่เราเรียกกันว่า “ความเชื่อเรื่องการได้แต่งงานกับเนื้อคู่” เพราะความเชื่ออย่างนี้ทำให้เราแต่ละคนแต่งงาน (หรือมีความสัมพันธ์) ด้วยความคาดหวังสูง ซึ่งท้ายสุดก็ไม่มีทางบรรจบกันได้ ในกรณีนี้ สเตฟานี คูนทซ์ (Stephanie Coontz) ผู้เขียน Marriage, A History ก็เห็นด้วยเช่นกัน “ทุกวันนี้ พวกเราคิดถึงการแต่งงานว่าแต่งไปแล้วทุกอย่างจะโรแมนติกสุขสม เราหวังว่าคู่รักของเราควรจะตอบสนองความต้องการทางกายและทางอารมณ์ของเราได้ทุกอย่าง แต่เมื่อมันไม่เกิดอย่างนั้นขึ้น  คนใดคนหนึ่งหรือทั้งคู่จึงเริ่มมองหาคนอื่น ความคิดเกี่ยวกับเนื้อคู่นั้นเป็นหลักคิดที่โรแมนติกมากเกินไป มันทำให้เราคาดหวังสูงกับคู่รัก เมื่อไม่ได้ดั่งหวัง ก็รู้สึกแย่กับคนรักของตัวเอง

                “งานวิจัยเผยว่า การนอกใจนั้นกำลังกลายเป็นเรื่องทั่วไปสำหรับคู่รักที่อยู่ด้วยกันก่อนแต่ง และฉันคิดว่า คนที่อยู่ด้วยกันนั้นก็เพื่อทดสอบว่าความสัมพันธ์จะไปรอดในระยะยาวไหม” วิลคอกซ์ กล่าว “คุณบอกตัวเองว่า ถ้านี่ไม่เวิร์ก ฉันจะมองหาคนใหม่ ความคิดแบบนั้นจะยังคงอยู่แม้คุณจะแต่งงานไปแล้วก็ตาม ซึ่งจะทำให้คนหนึ่งหรือทั้งคู่พร้อมละทิ้งความสัมพันธ์ทันทีเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น แทนที่คิดจะหาทางแก้ไขปัญหา”




จะมีชู้ดีไหมนะ

                ตอนอยู่ในลิฟท์ระหว่างจะไปห้องเบน ซาร่าก็แวบความคิดว่า ถ้าเธอปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้น ผลจะเป็นยังไง? เธอเริ่มอยากจะหยุดทุกอย่างทันทีก่อนที่อะไรๆ จะเลยเถิดไปมากกว่านี้ แต่ทันใดนั้น มือเบนก็สัมผัสหลังเธอ และดึงให้เธอเอนตัวชิดเขามากขึ้น ค่อยๆ จูบเธออย่างอ่อนโยนก่อน แล้วค่อยเพิ่มระดับความหนักหน่วงขึ้น ซาร่าไม่อาจต้านทานได้เลย เพราะว่าเธออารมณ์กระเจิงไปแล้ว มากกว่าที่เคยรู้สึกกับสามีด้วย

                นั่นเป็นเพราะว่า เวลาที่คุณอยู่กับคู่ขาใหม่ สารสื่อนำประสาทที่แล่นพล่านทั่วร่างกายคุณ (ทั้งชายและหญิง) จะออกฤทธิ์มากกว่ายามที่คุณอยู่กับคู่รักที่อยู่กันมานานแล้ว ดร.เดวิด เจ. เลย์ (David J. Ley) นักจิตวิทยา และผู้เขียน Insatiable Wives: Women Who Stray and the Men Who Love Them กล่าว “ผลก็คือสารสื่อนำประสาทที่สูงขึ้น จะทำให้เรารู้สึกว่าการกอดรัดของชู้รักใหม่นั้นเร้าใจมากกว่าคู่สามีภรรยาของเรา” ดร.เลย์ เผย

                นอกจากนี้เขายังเสริมด้วยว่า ปัจจัยอื่นๆ  ที่ทำให้ซาร่าเผลอใจให้เบนนั้น เพราะว่า มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกายของเบน (ที่ผู้หญิงไม่ทันสังเกต) สำหรับผู้ชายนั้น ความคาดหวังถึงเซ็กซ์กับคู่ขาใหม่จะสร้างให้เกิดการตอบสนองทางร่างกายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับคู่ขาที่คุ้นเคยกันดี สารสื่อนำประสาทในน้ำอสุจิของพวกเขา (เทสโทสเตอโรนและโปรสตาแกลนดินจำนวนมาก) จะเพิ่มขึ้นสูงกว่าเดิม ผลิตน้ำอสุจิมากขึ้นและเพิ่มความสามารถที่จะมีเซ็กซ์ได้ยาวนานและกระฉับกระเฉงขึ้น แล้วซาร่ารู้เรื่องนี้ไหมน่ะเหรอ? ไม่หรอก เลย์กล่าว พร้อมเสริมว่า “แต่สารเคมีที่ร่างกายส่งถึงอย่างต้องตรงกัน จะทำให้พวกเราเลือกคู่ขาอีกคนโดยไม่รู้ตัว”

                ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เพียงแค่เป็นตัวจุดไฟแรงขับเซ็กซ์ให้ทั้งซาร่าและเบนเท่านั้น แต่ยังทำให้ซาร่ารู้สึกเซ็กซี่และต้านทานไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่อย่างที่เธอเคยเป็นเวลาอยู่บ้านเข้าครัวทำกับข้าวให้กับลูกสาว หรือจู้จี้ให้สามีตัดหญ้าในสนามแต่อย่างใด “สำหรับผู้หญิงหลายคนนั้น เมื่อพวกเธออยู่ในสถานการณ์ที่เป็นที่ปรารถนา มันจะตรงข้ามกับความรู้สึกที่พวกเธอเคยรู้สึกกับตัวเองอย่างแท้จริง และพวกเธอจะรู้สึกมีเสน่ห์มากๆ” เลย์กล่าว




แรงขับที่ทำให้เป็นที่ต้องการ

                ผู้หญิงบางคนได้บอกกับเราว่า ถึงเธอไม่เลือกที่จะกระโจนขึ้นเตียงกับชายคนอื่น แม้อีกฝ่ายจะยั่วยวนเธออย่างหนัก ก็ตาม แต่เธอก็รู้สึกดีที่มีชายอื่นชื่นชม ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่ต้องการทำให้พวกเธอเห็นถึงคุณค่าของตัวเอง เลย์เผย ผู้หญิงส่วนมากรู้สึกดีเวลามีคนแสดงออกว่าต้องการพวกเธอ นั่นเป็นสิ่งที่หลายคนแสวงหามาตลอด ดูกรณีซาร่าเป็นตัวอย่างก็ได้ เบนแสดงออกอย่างเหลือล้นว่า เขาต้องการเธอ ซึ่งทำให้ซาร่าพึงพอใจมาก แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเพียงอย่างเดียวหรอก เพราะอันที่จริงแล้ว แรงผลักที่ทำให้ซาร่าอยากมีชู้ก็คือ เธอกำลังมีปัญหากับสามีต่างหาก

                หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้สาวๆ อเมริกันหันมานอกใจ (รวมถึงซาร่าด้วย) ก็คือ การที่เธอเชื่อว่าชีวิตแต่งงานมีปัญหาและมาถึงทางตันแล้ว “คนอเมริกัน 50 เปอร์เซ็นต์ล้วนหย่าร้าง ฉันคิดว่าโชคชะตาลิขิตให้ฉันอยู่ในครึ่งที่หย่าร้างนั้น” ซาร่ากล่าว (และก็เป็นจริง หลังจากเหตุการณ์ที่เจอเบนที่โรงแรมคราวนั้นผ่านมา 1 ปี ซาร่าก็ตัดสินใจหย่าขาดจากสามี) แต่ พาร์คเกอร์-โป๊ป คิดว่า นี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาการนอกใจในปัจจุบัน เพราะการเน้นย้ำข้อมูลที่ว่า “อัตราหย่าร้างสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์” ถูกพูดถึงบ่อยเกินไป

                พาร์คเกอร์-โป๊ป กล่าวว่า เธอเคยมีความคิดแบบเดียวกับซาร่าในตอนที่เธอกำลังจัดการชีวิตแต่งงานอันง่อนแง่น “ทำไมฉันต้องหวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งของครึ่งที่ไม่ได้หย่าร้างด้วยล่ะ?” เธอจำได้ว่าเคยสงสัยอย่างนี้ แต่หลังจากศึกษางานวิจัย (โชคร้ายที่เธอได้อ่านงานวิจัยหลังจากหย่าร้างแล้ว) พาร์คเกอร์-โป๊ป พบว่า ในจำนวนผู้คนที่แต่งงานในยุค 90 มีเพียง 22 เปอร์เซ็นต์ที่หย่าร้างภายใน 10 ปีแรกของการแต่งงาน แต่จำนวน 50 เปอร์เซ็นต์ของการหย่าร้างในปัจจุบันทำให้เธอรู้สึกอย่างกับว่า การหย่าร้างนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้

                “ฉันหวังว่าจะมีใครสักคนบอกฉันก่อนหน้านี้ว่า มันไม่ใช่เรื่องปกติที่จะหย่า และมันเป็นเรื่องปกติมากกว่าที่จะหาทางทำให้การแต่งงานนั้นราบรื่น” พาร์คเกอร์-โป๊ป กล่าว ในตอนนั้นเธอถูกสถิติโน้มน้าวว่า การนอกใจไม่ใช่เรื่องผิด ตัวเลขสถิติที่สื่อชอบเน้นย้ำนี่แหละ ที่คอยผลักดันให้คนอเมริกันมีชู้

                นี่เป็นจริงสำหรับเวนดี้ ศาสตราจารย์แห่งเมืองนิวยอร์ก ที่นอกใจไปกับแฟนเก่า เธอยอมรับว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอนอกใจก็เพราะว่าเธอรู้สึกว่าทุกคนก็ทำ และเธอไม่อยากเป็นคนเดียวที่ไม่ได้นอกใจในความสัมพันธ์ “ในบางจุด ฉันรู้สึกว่าฉันไม่อยากพลาดในสิ่งที่คนอื่นกำลังทำหรือเจออยู่ ฉันคิดว่า ตายแล้ว ถ้าคนอื่นๆ กำลังสนุกสนานกับการลองอะไรหลายๆ อย่าง ฉันก็ควรลองด้วย เธอกล่าว

                มันเป็นจริงที่มีการเข้าใจผิดๆ ว่าการนอกใจนั้นเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งนี้ทำให้สังคมอเมริกัน (อาจรวมไทย)เชื่อว่าการซื่อสัตย์นั้นล้าสมัยไปแล้ว พวกเราเริ่ม (เกือบจะ) ชินชากับการคบชู้ แต่มันจำเป็นที่จะต้องรู้ว่า แรงขับทางชีวภาพไม่ได้กำหนดชะตาคุณไว้เสียหน่อย “แค่เพียงเพราะเราอาจถูกจูงใจให้มีชู้ ไม่ได้หมายความว่า เราจะเลือกที่จะอยู่กับความสัมพันธ์กับคู่รักคนเดียวอย่างแฮปปี้ไม่ได้เสียหน่อย” เลย์ กล่าว “คุณเลือกที่จะนอกใจหรือซื่อสัตย์ก็ได้ และการที่ได้รู้ว่า แรงขับทางชีวภาพทำให้เราสนใจคนอื่น ก็จะทำให้เราพยายามต่อต้านสิ่งล่อใจเหล่านั้น”

                “การที่เราเพ่งมองแต่กลุ่มคนที่นอกใจ ทำให้มุมมองของเราโน้มเอียงไม่เที่ยงตรง” พาร์คเกอร์-โป๊ป เปิดเผย “แม้ว่า จะมีการเพิ่มขึ้นของจำนวนหญิงสาวที่นอกใจ แต่ส่วนใหญ่ของชายและหญิงไม่นอกใจ แต่นี่กลับไม่ได้รับการพูดถึงหรือให้ความสำคัญ การนอกใจไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เสียหน่อยนะคะ” เธอยืนยันปิดท้าย





________________________________________________________


วัดระดับการนอกใจ


ไม่อยากก้าวเดินบนหนทางนอกใจ อ่านคำแนะนำข้างล่างนี้ รับรองว่าเวิร์ก เพราะทุกข้อล้วนมาจากข้อมูลจริงที่เรารับมือกับคนมีเสน่ห์จัดๆ มาแล้ว


ต้องมีแผนสำรองไว้เสมอ : หาหนทางว่าคุณจะรับมือกับสิ่งยั่วใจอย่างไรก่อนที่คุณต้องเผชิญมันจริงๆ ข้อนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ชาย ทั้งนี้ผลการศึกษาของ McGill University เมืองมอลทรีอัล แคนาดา ชี้ว่า เมื่อผู้ชายเดินเข้าไปในห้องที่แขวนรูปสาวสวยไว้ โดยกระจายรูปเล็กรูปน้อยไว้มุมหนึ่งของห้อง (มีเพียงแค่จิตใต้สำนึกเท่านั้นที่จะรับรู้ได้) ผู้ชายที่เตรียมแผนมาก่อนเดินเข้าห้องว่า เขาจะรับมือกับสาวสวยอย่างไร จะไม่เดินไปยังมุมนั้นของห้อง ขณะที่ชายหนุ่มที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ จะถูกดึงดูดให้เดินไปยังมุมนั้นทันที


เลือกเพื่อนให้ดี : “มีคนในวัยหนุ่มสาวจำนวนมากที่เลือกคบหาและสังสรรกับเพื่อนต่างเพศ” แบรด วิลคอกซ์ (Brad Wilcox) ผู้อำนวยการของ National Marriage Project กล่าว “แต่ถ้าคุณคิดจะปรึกษาและให้เพื่อนต่างเพศปลอบใจเวลาที่คุณมีปัญหากับคู่รักล่ะก็ ขอแนะนำว่านั่นอาจไม่ใช่ความคิดที่เข้าท่านัก เหตุผลก็รู้ๆ กันอยู่” นอกจากนี้ หากคุณรู้สึกแปลกๆ กับเพื่อนต่างเพศที่คบหากันอยู่ ให้คิดเสียว่า อาการใจเต้นแรงที่เป็นอยู่นั้น เป็นผลมาจากฮอร์โมนที่ไปสั่งการสมองอีกที และคุณไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ฮอร์โมนกำหนดชะตากรรมของชีวิตเสียหน่อยนี่คะ


มองคนอื่นได้ ไม่ผิดหรอก : ถ้าชอบเผลอมองคนอื่น ก็ยอมรับซะ การชอบมองคนมีเสน่ห์นั้นไม่ผิดหรอก อย่าถึงขึ้นต่อต้านพฤติกรรมนี้ไปเลย มันก็เหมือนกับการพยายามอดอาหารนั่นแหละค่ะ คิดดูสิ เวลาที่คุณคิดจะเลิกของหวาน คุณจะเริ่มคิดถึงมันทันที นั่นยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ถ้ารู้สึกดีกับใคร ก็จงยอมรับอย่างเป็นธรรมชาติ แต่หลังจากนั้นให้คิดถึงเรื่องดีๆ เกี่ยวกับคนรักที่มักทำให้คุณยิ้มได้ แต่อย่าคิดถึงหนุ่มมีเสน่ห์ที่คุณเผลอมองในแง่เย้ายวน เพราะมันอาจไปเพิ่มแรงขับทางเพศของคุณได้ (เดี๋ยวเป็นเรื่อง)


สมานฉันท์กับเรื่องบนเตียง : นักวิจัยจาก Georgia State University อเมริกา พบว่า ถ้าคู่รักคนหนึ่งอยากจู๋จี๋ แต่อีกคนปฏิเสธ ปัญหาความสัมพันธ์อาจตึงเครียด รวมถึงอาจนำไปสู่การนอกใจได้ ดังนั้นหมั่นเติมความหวานฉ่ำให้กับชีวิตบนเตียง และถึงจะไม่มีอารมณ์นัก ก็พยายามอย่าปฏิเสธอีกฝ่าย นอกจากนี้ หากคุณทั้งสองมีปัญหาเรื่องเซ็กซ์ที่แก้อย่างไรก็ไม่หาย ให้ปรึกษาคุณหมอหรือที่ปรึกษาครอบครัว เพื่อที่จะได้ป้องกันไม่ให้ชีวิตรักอับปางอย่างไรเล่าคะ




40 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงอเมริกันที่ยอมรับว่านอกใจ บอกว่าพวกเธออยากรับความใส่ใจมากกว่านี้






_____________________________________________



นอกใจกับใคร และอย่างไร?





40 เปอร์เซ็นต์ ของคนที่นอกใจ บอกว่าพวกเขาเผลอไผลไปกับเพื่อนนี่แหละ
35 เปอร์เซ็นต์ นอกใจไปกับเพื่อนร่วมงาน
23 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ชาย นอกใจไปกับสาวที่เขาพบในที่เที่ยว
22 เปอร์เซ็นต์ ของผู้หญิง นอกใจไปกับแฟนเก่า
ที่มา : ผลสำรวจในคนอเมริกัน 70,000 คน ที่จัดทำโดย MSNBC และ iVillage











ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีชู้เป็นพิเศษในบางวันหรือเปล่า? 

เป็นไปได้นะ เพราะว่ามีผลวิจัยจากคลับเต้นรูดเสาทั่วอเมริกา พบว่าสาวนักเต้นรูดเสาที่มีไข่ตกวันนั้นพอดี มักจะดึงดูดและทำให้ชายหนุ่มปรารถนาในตัวเธอได้มากกว่าสาวอื่น ซึ่งนี่อาจนำไปสู่การนอกใจได้ง่ายขึ้น


335 ดอลลาร์อเมริกา คือเงินที่สาวนักเต้นรูดเสาทำได้ภายใน 5 ชั่วโมง ในวันที่พวกเธอไข่ตก
260 ดอลลาร์อเมริกา คือเงินที่สาวนักเต้นรูดเสาทำได้ภายใน 5 ชั่วโมง ในวันปกติ
185 ดอลลาร์อเมริกา คือเงินที่สาวนักเต้นรูดเสาทำได้ภายใน 5 ชั่วโมง ในวันที่เธอมีประจำเดือน (อันเป็นช่วงเวลาที่สาวๆ มีโอกาสตั้งครรภ์ได้น้อยสุด)
ที่มา : The University of New Mexico

No comments: