Friday, May 08, 2009

นักเขียนหนุ่ม ... ความสุข .... ความรัก ... และการตกเครื่อง :)




ฉันกำลังคิดถึงผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ...


สบายใจได้ ... เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ ทงบังชินกิ :)


ผู้ชายคนที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวสมองของฉันอยู่นี้ ชื่อ หวงเยวี่ยน เป็นนักเขียนหนุ่มชาวไต้หวัน วัย 28 ปี ที่ฉันเพิ่งได้เจอเค้าเมื่อวันจันทร์ ที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

สถานที่ที่เราเจอกัน คือร้านหนังสือชื่อ บุ๊คมาร์ก ในย่านเก๋ไก๋ของชนชั้นกลางมีระดับในกรุงเทพฯ อย่าง ทองหล่อ

ฉันไม่ใช่คนมีระดับหรอก ทั้งยังห่างไกลจากความหมายของคำว่า "เก๋ไก๋" อยู่มากโข แต่เราเจอกันที่นี่จริงๆ (ฉันไม่ใช่นักการเมือง ทั้งยังไม่ใช่ดารา จึงไม่รู้จะโกหกสร้างภาพไปทำไม)

จริงๆ เราสองคนเจอกัน ... แต่คุณหวงเยวี่ยน ไม่เคยรู้จักฉันหรอก
โธ่... ก็ฉันไปปรากฏตัวในร้านบุ๊คมาร์กวันนั้น ในฐานะคนอ่านคนนึง ที่ไปงานเปิดตัวหนังสือของนักเขียนคนนี้น่ะสิ



หนังสือที่เป็นเหตุให้นักเขียนหนุ่มจากไต้หวัน ต้องบินข้ามฟ้ามาไทย (ท่ามกลางภาวะการณ์ที่โลกกำลังตื่นตระหนกกับไข้หวัดใหญ่ 2009) ในครั้งนี้ มีชื่อว่า "Happiness is coming."

เป็นหนังสือของนักเขียนรุ่นใหม่ระดับปรากฏการณ์ ที่เรียกว่าดังในไต้หวันอยู่ในระดับหนึ่งทีเดียว


"Happiness is coming " เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักที่ 95 % มาจากเรื่องจริงของคนร่วมสมัยในไต้หวัน ประเทศเล็กๆ ที่ก็ไม่ต่างกับเมืองไทยที่อินเตอร์เน็ตได้ก้าวเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิต

แม้มันจะเกี่ยวกับความรัก แต่ Happiness is coming ไม่ได้น้ำเน่า ซ้ำซาก หรือหวานจนชวนแหวะเลย
อาจด้วยความที่ หวงเยวี่ยน ไม่ใช่คนธรรดา เหมือนที่เค้าชอบนิยามตัวเองว่า "ผมไม่ใช่คนธรรรมดา แต่ผมเป็นระเบิด"
จริงๆ ประโยคนี้ เขายืมคำพูดของ นิตเช่ (ตัวพ่อโพสต์โมเดิร์น) มาใช้อีกที


พ่อหนุ่มอายุ 28 คนนี้ อ่านและสะสมหนังสือไว้ในชีวิตประมาณหมื่นกว่าเล่ม คลุกคลีกับตัวหนังสือของนิตเช่มาตั้งแต่วัยรุ่น แถมยังมีประสบการณ์ทำงานอันพิสดาร เคยเป็นทั้ง พี่ชายนักเล่านิทาน ที่ปรึกษาทางจิตวิทยยา ผู้ตรวจการแผนงานออกแบบงานศิลป์ นักวิจัยประจำมูลนิธิ ก่อนจะยังชีพด้วยการเป็นนักเขียน ที่เขาบอกว่า "ไส้แห้ง" อยู่

ฟังประวัติแล้ว อาจชวนให้คิดว่า หวงเยวี่ยน คนนี้ ต้องเป็นไอ้หนุ่มแนวๆ อินดี้ๆ แน่ๆ .. แต่จากการได้พบปะเสวนา หนุ่มคนนี้จัดเป็นหนุ่มธรรมดานี่แหละ

เพียงแค่เค้ารู้ตัวว่าเขา "รัก" อะไร และอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิตต่างหาก


ในหนังสือ Happines is coming ในบทแนะนำตัว หวงเยวี่ยน ได้เขียนเกี่ยวกับตัวเค้าเองไว้อย่างชวนอ่านว่า

"ผมชื่อหวงเยวี่ยนเป็นคนธรรมดาสามัญที่ช่างฝันชอบอ่านหนังสือ เป็นหนอนหนังสือตัวยงในสายตาของคนอื่นชอบดนตรี ชอบร้องเพลง ชอบดูหนัง ชอบละครเวที ชอบท่องเที่ยว ชอบของอร่อย เงินออมส่วนใหญ่ในชีวิตของผม หมดไปกับงานอดิเรกที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ทำให้จนบัดนี้ผมยังเป็นนายไส้แห้ง แต่ผมไม่แคร์ เพราะการทุ่มเทตนเองให้กับชีวิต ทำให้ผมรู้สึกได้เป็นมนุษย์เต็มตัว ไม่ใช่ทาสของโลกแห่งความจริง

....ผมขับรถเร็วมาก แต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงครั้งหนึ่ง ผมก็ไม่ขับรถอีกต่อไป เพราะตระหนักได้ว่าชีวิตมันเปราะบางเกินกว่าจะทนรับการปะทะใดๆ ดังนั้นต้องตั้งใจถนอมรักษาให้ดีๆ

....ผมเขียนนิยาย และหากินกับสิ่งนี้ เมื่ออยู่ในโลกของตัวหนังสือ จึงจะรู้สึกว่าตนคือผู้บัญชาการ ผมอยากเป็นผู้ดำเนินรายการทีวี อยากเป็นผู้ดำเนินรายการวิจารณ์หนังสือ ดนตรีและภาพยนตร์ อยากให้มีสักวันหนึ่ง เพลงที่ผมเขียนได้กลายเป็นแผ่นซีดีที่มีหน้าปกสวยงาม อยากกำกับภาพยนตร์สักเรื่องที่เขียนบทเอง

.....กรุณาอย่าตำหนิที่ผมมีความอยากมากเกินไป เพราะหากถอดความฝันออกไปจากตัวผมเมื่อไหร่ หัวสมองผมก็จะกลวงโบ๋ไม่เหลือคุณค่าอะไรเลย

....ผมกำลังก้าวไปสู่จุดหมายของตนเอง มันคือที่ไหนหรือ ตราบใดที่ยังไปไม่ถึง ก็คงไม่มีวันรู้ แต่ผมมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นสถานที่ที่งดงาม กว้างไพศาลและอุดมสมบูรณ์ ผมเชื่อเช่นนั้น คุณก็ต้องเชื่อ มิเช่นนั้น หากเราปฏิเสธอนาคตเสียตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น ยอมแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง


...แล้วมันจะเหลือความสุขอันใดให้ไขว่คว้าได้อีกเล่า"


.......


แล้วทำไมฉันต้อง "มานั่งคิดถึง" คุณหวงเยวี่ยน ในตอนนี้ด้วย

เอาล่ะ ... ฉันชื่นชอบเค้า - โดยไม่เกี่ยวกับหน้าตา - นั่นเป็นส่วนหนึ่ง

แหม... ใครใช้ให้พ่อหนุ่มคนนี้ ช่างฉลาด แถมยังมีส่วนผสมของความพิลึก และละเอียดอ่อนอยู่ในที

ในการสัมภาษณ์ มีคนถามเค้าว่า ทำไมถึงเลือกเขียนเรื่องเกี่ยวกับความรัก
พ่อหนุ่มผู้มีนิตเช่เป็นแหล่งพลังงาน บอกว่า
"เพราะความรักเป็นพล็อตที่ไม่รู้จบจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาจะเขียนเรื่องอื่นไม่ได้ แต่เค้าแค่อยากเขียนถึงสิ่งที่เขารักมากที่สุด นั่นเพราะสำหรับเค้า ความรักเป็นสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด ซับซ้อนที่สุด และวางไม่ลงที่สุด"

ไอ้ประโยค "วางไม่ลงที่สุด" นี่แหละ ที่ได้ใจฉันไปเลยเต็มๆ


ทว่า ... นี่ยังไม่ใช่คำตอบของไอ้อาการที่ทำให้ฉันต้องมานั่งคิดถึงเค้าอยู่ในตอนนี้

เรื่องที่เกิดขึ้นก็คือ จริงๆ ระหว่างการมาพบนักอ่าน พร้อมนั่งตอบคำถามเกี่ยวกับหนังสือ Happiness is coming ของคุณหวงเยวี่ยนนั้น เขามีไฟล์ทต้องบินกลับไต้หวันตอน 5 โมงเย็น
ทำให้ตอนสัมภาษณ์ ผู้ที่รับหน้าที่ดูแลเค้าก็ดูจะกังวลจนต้องดูนาฬิกาอยู่บ่อยๆ เพราะอย่างที่รู้ ไฟล์ระหว่างประเทศ เราต้องไปเช็คอินก่อนเครื่องขึ้น 1 ชั่วโมงโดยประมาณ

ตอนนั้น บ่ายสามกว่าๆ แล้ว แต่คุณหวงเยวี่ยน ยังนั่งตอบคำถามอยู่ด้วยหน้าตาแย้มยิ้ม (แม้จะรู้กำหนดไฟล์ทตัวเองก็ตาม)
พอบ่ายสามจะครึ่ง ก็ยังนั่งแจกลายเซ็นต์อยู่ ... ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอีกเช่นเคย

แน่นอนว่า ฉันเป็นคนหนึ่งที่อยากได้ลายเซ็นต์ของเค้า แหม.. พูดอย่างกับว่า จะได้เจอตัวเป็นๆ ได้ง่ายๆ (เจอทงบังชินกิ ยังง่ายกว่านี้เลย ... อุ้ย ลืมไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับทงบังชินกิ นี่นา :)

แต่ความที่ฉันเห็นว่า เวลานั้น มันสมควรแก่การที่เค้าจะบึ่งไปเช็คอินที่สุวรรณภูมิได้แล้ว ฉันไม่อยากเป็นคนหนึ่งที่ต้องเป็นสาเหตุให้เค้าตกเครื่อง (เพราะตกเครื่อง แม้ไม่เจ็บตัว แต่มันน่าจะชวนให้ปวดหัวอยู่ไม่น้อย) ฉันเลยเลือกจะถือหนังสือ Happiness is coming แล้วเดินจากมา

... พร้อมกับคิดในใจว่า ถ้าอ่านจบเมื่อไหร่ ฉันจะเขียนจดหมายไปหาเค้า ว่าฉันรู้สึกอย่างไรกับหนังสือเล่มนี้

เวลาที่ฉันเดินจากร้านบุ๊คมาร์ก - ทองหล่อ มานั้น มันประมาณบ่าย 3 โมงครึ่งแล้ว


ระหว่างทางเดินไปรถไฟฟ้า อยู่ๆ ฉันก็คิดขึ้นมาได้ว่า เรื่องราววันนี้มันช่างสอดคล้องกับหนังเรื่องโปรดของฉันที่ชื่อ Before Sunset เสียเหลือเกิน


ในหนัง Before Sunset เล่าเรื่องราว 2 ชั่วโมงก่อนไปขึ้นเครื่องบินของนักเขียนอเมริกันคนหนึ่ง (นำแสดงโดย ขวัญใจตลอดกาลของฉัน อย่าง ท่านพี่อีธาน ฮอว์ก) เขามาเปิดตัวหนังสือเล่มหนึ่งที่ปารีส ซึ่งหนังสือนั้นเขียนโดยอิงมาจากชีวิตจริงช่วงหนึ่งของเขา แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก...

หลังจากเปิดตัวหนังสือเสร็จ เจสซี่ (อีธาน ฮอว์ก) ต้องรีบไปเช็คอินและขึ้นเครื่อง แต่เพราะเขาเจอกับ เซลีน (จูลี่ เดลพี) หญิงสาวผู้ที่แท้จริงแล้วคือที่มาของหนังสือเล่มที่ทำให้เขาต้องมาเปิดตัวหนังสือถึงที่ปารีสนี่แหละ

เจสซี่ เลือกทำในสิ่งที่ฉันเห็นว่า เค้าควรทำมาก คือยอมออกไปเดินเล่น จิบกาแฟ และพูดคุยรำลึกความหลังกับเซลีน แทนที่จะรีบตรงดิ่งไปสนามบิน

เจสซี่เห็นว่า เวลายังพอมี

... แม้ท้ายที่สุด คนที่ได้ดูหนังทุกคนต่างรู้ดี เจสซี่พลาดเครื่องบินแน่ๆ* (แต่เค้าได้ค้นพบบทสนทนาแสนดีอีกบทหนึ่งในชีวิตเชียวนะ)


..................................................




อยู่ๆ ฉันก็คิดขึ้นมาได้ว่า "แล้วคุณหวงเยวี่ยนล่ะ? เค้าจะตกเครื่องบินไหมนะ?"
จริงอยู่ หนังสือ Happiness is coming ของเค้า ไม่ได้มีเรื่องราวเกี่ยวกับสาวไทย แต่มันก็พ้องกับหนังเรื่อง Before Sunset อยู่หลายอย่าง

หนึ่ง - หวงเยวี่ยนเป็นนักเขียน
สอง - หนังสือของเขาแต่งมาจากเรื่องจริง (แม้จะไม่ใช่เรื่องของเค้า ทว่าเป็นเรื่องของเพื่อนก็ตาม)
สาม - เขาต้องมาเปิดตัวและตอบคำถามเรื่องหนังสือ ประมาณ 2-3 ก่อนเครื่องบินจะออก
สี่ - แม้จะรู้ตัวว่าต้องไปแล้ว แต่เขาก็ยังนั่งอยู่กับคนอ่าน พร้อมแจกลายเซ็นต์อย่างยิ้มแย้ม (ในแง่หนึ่ง คนอ่านก็เปรียบเหมือน เซลีน ในเรื่อง Before Sunset :)

นั่นแหละ .... คือที่มาทั้งหมดทั้งปวงที่ฉันมานั่งคิดถึงเค้าในวันนี้...

อย่าลืมนะ ว่า Before Sunset เป็นหนังเรื่องโปรดของฉัน
ทำไม...ทุกอย่างมันถึงได้พ้องต้องกันเสียอย่างนี้
แล้วฉันควรจะเขียนไปเล่าเรื่องนี้ให้เค้าอ่านไหม?
อย่างน้อยจะได้เป็นการตอบข้อสงสัยของฉันไปในตัว ....

ว่า "คุณคะ วันนั้นคุณตกเครื่องบินหรือเปล่า?"
และถ้าเค้าตอบกลับมาว่า "ตกเครื่องบิน" จริงๆ ฉันจะได้ถามต่อว่า
...

"แล้วระหว่าง ตกเครื่องบิน กับ ตกหลุมรัก คุณคิดว่าอันไหนเจ็บจี๊ดมากกว่ากันคะ?"


:)

จากฉันเอง

หญิงสาวผู้มีฮารูกิ มูราคามิ เป็นศาสดา และมี "ทงบังชินกิ" เป็นคนรัก
(ลากมาเกี่ยวกับทงบังชินกิ จนได้สิน่า :)




*หมายเหตุ
ขอโทษที่ต้องสปอยล์ตอนจบของหนัง Before Sunset แต่เพราะคิดสาระตะแล้วว่า เจสซี่จะตกเครื่องหรือไม่ มันไม่ใช่หัวใจของเรื่องเลยแม่เพียงนิด หัวใจหลักของ Before Sunset ที่แท้แล้วซุกซ่อนอยู่ในบทสนทนาตลอด 2 ชั่วโมงนั่นต่างหาก ... อย่าลืมไปหามาดูนะคะ ถ้าจะให้ดี ดู Before Sunrise ซึ่งเป็นภาคปฐมบทก่อนก็ดี :)


..........................................................................

Remark :

ชื่อหนังสือ Happiness is coming : ผู้ชายเหมือนระเบิด - ความสุขกำลังจะมา

ผู้เขียน หวงเยวี่ยน

ผู้แปล อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี

สำนักพิมพ์ ฟรีฟอร์ม

ราคา 255 บาท


freeformbooks.blogspot.com