Thursday, September 06, 2012

[People] ชาร์ลอตต์








ฉันคิดอยากเขียนเรื่องเพื่อนคนนี้มานานแล้ว

                ไม่แน่ใจว่าเธอจะสะดวกใจให้เอ่ยถึงชื่อจริงไหม จึงขอใช้นามสมมติว่า ชาร์ลอตต์ แล้วกัน ชาร์ลอตต์เป็นเพื่อนในวัยมัธยมต้นของฉัน เธอเป็นคนรักการอ่าน มีบุคลิกอ่อนหวาน ไว้ใจโลก และไม่ค่อยมีความคิดในทางลบสักเท่าไหร่ เธอคนนี้เป็นคนแนะนำให้ฉันอ่านนวนิยายซึ่งต่อมากลายเป็นหนึ่งในนวนิยายที่ฉันแสนรักอย่าง ทางรัก  และ สายสัมพันธ์ ของโรสลาเรน พร้อมกันนั้นเธอยังชี้ไปที่ชั้นหนังสือในห้องสมุด พลางบอกว่า ชุดหนังสือ บ้านเล็กในป่าใหญ่ สนุกมากเลยนะ แถมเป็นคนที่ทำให้ฉันหันมาลองอ่าน ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ของ วินทร์ เลียววารินทร์ ก่อนที่หนังสือเล่มนี้จะได้รางวัลซีไรต์เสียด้วยซ้ำ

                ในวัยมัธยมต้น นอกจากแลกเปลี่ยนเรื่องหนังสือกันแล้ว เรายังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องฟุตบอลกันด้วย ใช่! ในวัยนั้น ความคลั่งไคล้ฟุตบอลของฉันส่งอิทธิพลต่อเธอเช่นกัน ชาร์ลอตต์เริ่มหันมาดูฟุตบอลในช่วงมัธยมสาม เริ่มแรกเราก็เสพติดนักเตะหล่อๆ ก่อน ต่อมาก็กลายเป็นว่า ความหล่อทำให้เราดูฟุตบอลสนุกขึ้น พอฉันย้ายโรงเรียนในช่วงมัธยมปลาย เราก็ยังคงเขียนจดหมายติดต่อกัน เนื้อความในจดหมายส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับหนังสือและฟุตบอลเสียมาก แน่นอนว่าในจดหมายเหล่านี้มีชื่อ เดวิด เบคแคม ปรากฏอยู่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยครั้ง

                ชีวิตมัธยมปลายเป็นชีวิตที่เด็กนักเรียนทุกคนพุ่งเป้าเตรียมเอ็นทรานซ์ ฉันและเธอก็เช่นกัน เพียงแต่เราเลือกเอ็นทรานซ์คนละสายวิชา ฉันหันเหความสนใจมาที่คณะสายสังคมศาสตร์กับสื่อสารมวลชน เคยลังเลว่าจะเลือกอะไรเป็นคณะอันดับหนึ่งดี ระหว่า รัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กับ นิเทศศาสตร์ สุดท้าย ความอยากเป็นภริยานักการทูตก็เอาชนะความอยากเป็นผู้ประกาศข่าว >///< ขณะที่ชาร์ลอตต์เลือกสอบเข้าคณะเภสัชศาสตร์ ฉันไม่ค่อยได้คุยกับเธอแล้วในช่วงนั้น จึงไม่รู้เหตุผลเชิงลึกว่าทำไมเธอเลือกเอ็นทรานซ์เข้าหมอยา แทนที่จะเป็นหมอหมา เหมือนนางเอก ศุลีพร ในนวนิยาย ทางรัก และ สายสัมพันธ์ ที่เราชอบอ่านกันในช่วงเริ่มต้นวัยรุ่น

                ช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยเป็นช่วงชีวิตที่ฉันได้กลับมาติดต่อกับเธออีกครั้ง เคยแวะไปเยี่ยมเธอที่หอพักสองสามหน ชาร์ลอตต์เล่าให้ฟังว่ากำลังเรียนเทนนิส และชอบไปทำกิจกรรมที่โบสถ์กับ เพื่อนฝูง ในชมรม เธอเผยไต๋ให้ได้รู้ว่าผู้หญิงผิวขาวอ่อนหวานอย่างเธอนั้นไม่ได้นิยมชมชอบหนุ่มไทยแท้ แต่อ่อนไหวกับผู้ชายตาน้ำข้าวที่พูดภาษาอังกฤษได้ไพเราะสุดๆ ตอนนั้นฉันคิดว่าเธอแค่พูดเล่นตามประสาหญิงสาววัย 20 เดี๋ยวพอเวลาเปลี่ยน ผู้คนในชีวิตเปลี่ยนหน้า เธอก็คงเปลี่ยนความคิดไปเองแหละ

                หลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ชาร์ลอตต์เข้ามาทำงานเภสัชกรในร้านยาที่มีสาขาเครือข่ายตามห้างสรรพสินค้ามากมายในกรุงเทพฯ ความที่มีทักษะภาษาอังกฤษดี ทำให้เธอถูกบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่สาขาซึ่งมีชาวต่างชาติแวะเวียนเป็นลูกค้าไม่น้อยอย่างสาขาสยามดิสคัฟเวอรี่ ตอนนั้นฉันทำงานได้สองปีแล้ว (เพราะฉันสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก่อนเธอ และฉันก็เรียนแค่สี่ปี จึงจบเร็วกว่า) เช่าหอพักอยู่ใกล้ๆ ห้างสยามดิสคัฟเวอรี่นั่นแหละ ตกเย็นฉันจึงมักแวะเวียนไปหาเธอเสมอ ความที่เธอเป็นคนอ่อนหวาน คุยได้กับทุกคน ลูกค้าที่แวะมาซื้อยาจึงชอบเธอมากๆ บางคนเป็นถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ชอบมาคุยกับเธอ บางคนก็ทำงานอยู่องค์กรใหญ่ๆ ในตำแหน่งสูงๆ ฉันรู้เรื่องเหล่านี้เพราะคนเหล่านี้มอบนามบัตรให้เธอ แล้วชาร์ลอตต์นำนามบัตรมาให้ฉันดูอีกที จริงๆ ตอนนั้นเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกค้าแต่ละคนเป็นใครบ้าง โลกของเธอไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่งและหน้าที่บนนามบัตร เธอแค่รู้สึกว่าใครมาซื้อยาเธอก็คุยด้วย เธอคุยได้เรื่อยเปื่อย เปิดกว้าง และเปิดใจกับทุกคน นั่นคือเสน่ห์ของเธอ

                ในละแวกบ้านเกิด ชาร์ลอตต์กับฉันเป็นเด็กที่ถูกมองว่าเรียนเก่ง สอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้ ลึกๆ หลายคนคงคาดหวังว่าเราคงดำเนินอาชีพการงานอันมั่นคง มั่งคั่ง และ สร้างชื่อเสียงให้ตนเองได้ในไม่ช้า แต่การณ์กลับไม่เป็นไปดังนั้น ทั้งฉันและชาร์ลอตต์เป็นเหมือนพวกที่แหกคอกออกจากกรอบที่ชุมชนเรามอบให้ จริงๆ วิถีที่เราสองคนเลือกก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากที่คนจบปริญญาตรีในกรุงเทพฯ เลือกกัน เราใช้ชีวิตอย่างเฮฮา มีความสุขและสนุกกับเงินเดือนไม่กี่หมื่น มีเงินเก็บน้อยๆ แถมโบนัสยิ่งน้อยกว่าน้อย ในช่วงวัย 20 ฉันกับเธอดำเนินชีวิตอย่างนั้นไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าเรามีวิญญาณเรื่อยเปื่อยสูงยิ่ง ฉันนั้นไม่ค่อยเป็นไรหรอก เพราะฉันเรียนจบในคณะที่ถึงอย่างไรก็หาเงินเยอะๆ ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ชาร์ลอตต์นั้น ถ้าหากเธอจะเลือกบริษัทยาขนาดใหญ่ เธอก็คงทำรายได้ได้ถล่มทลาย แต่เหมือนเธอเอาใจออกห่างจากสิ่งเหล่านั้นแล้ว

                หลังจากทำงานในร้านขายยาตามห้าง ก่อนจะเปลี่ยนไปทำร้านอื่นซึ่งอยู่ในห้างเช่นเดิม เวลาว่างเธอก็จะไปเที่ยวเล่นตามสถานที่น่ารักๆ ในกรุงเทพฯ หาเวลาทำเล็บ ซื้อหนังสือแฟชั่นมาอ่าน พลางเล่นแชทกับเพื่อนต่างชาติอย่างสม่ำเสมอ พอผ่านไปราวๆ 3 ปี เธอก็มีแฟนเป็นต่างชาติตาน้ำข้าว คบหากันสักระยะ ก่อนเข้าสู่กระบวนการเลิกรา หลังกระบวนการนี้ฉันเห็นเธอเปลี่ยนไปทำงานอีกที่หนึ่ง จริงๆ มันไม่เกี่ยวข้องกันหรอก มันเป็นแค่จังหวะชีวิตเท่านั้น แต่งานใหม่ของเธอทำให้ฉันประหลาดใจมาก เพราะคนเรียนจบเภสัชศาสตร์อย่างเธอ หันมาเป็นพนักงานต้อนรับในคลินิกทำฟันระดับอินเตอร์เนชั่นแนลแห่งหนึ่ง (ที่นี่มีหมอฟันเซเลบสาวสวยทำงานอยู่) ชาร์ลอตต์บอกว่าชอบงานนี้ เธอได้ใช้ภาษาอังกฤษ ที่ทำงานก็ไม่ไกลหอพัก อยู่ในระยะเดินได้ด้วยซ้ำ แถมรายได้ก็โอเคตามมาตรฐานชนชั้นกลางเมืองหลวง (แต่ก็น้อยกว่าเป็นเภสัชกรแน่นอน) ตอนนั้นฉันไม่ได้คัดค้านเธอหรอก แต่อดทึ่งกับการเลือกเส้นทางชีวิตของเธอไม่ได้

                พอชีวิตเลยหลักเบญจเพส ฉันกับชาร์ลอตต์ก็ห่างๆ กันอีกคราว พอได้ข่าวอีกที เธอก็ไปโผล่อยู่ที่ออสเตรเลียแล้ว ชาร์ลอตต์ส่งอีเมลมาเล่าว่าเธอเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนอะไรสักอย่าง จะอยู่ที่ออสเตรเลียราวๆ 1 ปี ระหว่างนั้นเธอก็เก็บเงินไปด้วย แล้วพอเธอกลับมาเมืองไทย สักแป๊บเธอก็ไปโผล่อยู่นิวยอร์ก คราวนี้เธอขอกู้แม่ไปเรียนมินิเอ็มบีเอ เรียนประมาณหนึ่งหรือปีครึ่งนี่แหละ เป็นคล้ายๆ internship ไม่ใช่ master’s degree แต่อย่างใด เธอบอกว่าจริงๆ ก็เรียนเหมือนกัน แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นลงเรียนปริญญาโทจะต้องใช้เงินมากขึ้นกว่าเดิมอีกราวๆ 7 แสนบาท เธอไม่มีเงินขนาดนั้น หลังจากลัลลาในเมืองแอปเปิลผลใหญ่ได้สักระยะ เธอก็กลับมาเมืองไทยเมื่อช่วงมีนาคมที่ผ่านมานี้เอง

                ปีนี้ทั้งฉันและเธออายุ 31 ปี ต่างยังไม่ลงหลักปักฐานทั้งด้านการงานและชีวิตคู่ สิ่งนี้ดูจะเป็นเรื่องที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับครอบครัวพวกเราไม่น้อย ตอนนี้ฉันกลับมาปักหลักอยู่บ้าน เขียนนิยายมา 5 เดือน แต่ดูเหมือนความสำเร็จยังดูห่างไกลยิ่งนัก ฉันปราศจากพรสวรรค์ มีเพียงพรแสวง ซึ่งนั่นยังคงไม่เพียงพอหรอก ฉันยังต้องทำงานหนักกว่านี้อีกเยอะ ฉันรู้ดี ส่วนชาร์ลอตต์นั้น เธอไม่อยากทำงานเภสัชอีกแล้ว แม่เธอให้รับราชการที่โรงพยาบาลใกล้บ้านเธอก็ไม่เอาด้วย เธอบอกว่า หลังการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่หลายปี ทำให้เธอกลายเป็นคนเมืองอย่างสมบูรณ์แบบ เธอไม่รังเกียจชนบท แต่ตอนนี้เธอคิดภาพตัวเองทำงานที่บ้านไม่ออก เธอขอเข้าไปเป็นสาวสวยวัย 31 ในเมืองใหญ่แล้วกัน

                จากนั้นเธอก็เข้ากรุงเทพฯ มาทำงานเป็นล่ามให้กับโครงการที่ส่งทหารอเมริกันเข้ามายังเมืองไทย ค่าตอบแทนถือว่าไม่น้อย แต่ลักษณะงานสัญญาระยะสั้น เธอทำงานนี้สองเดือน พอหมดสัญญาก็เริ่มหางานใหม่โดยสมัครเข้ายังหน่วยงานที่คล้ายๆ หอการค้าระหว่างยุโรปและอาเซียน เป็นองค์กรที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก งานนี้เป็นสัญญาสองปี เงินเดือนคือครึ่งแสน แต่ถ้าเทียบว่าอายุ 31 ปี งานนี้ก็ไม่ได้ถือว่าให้ความมั่งคั่งหรือมั่นคงอะไรหรอกนะ (เพราะสัญญาสองปี) ชาร์ลอตต์ยังทำงานนี้ไม่ถึงสองสัปดาห์ดี เธอเล่าให้ฉันฟังทางโทรศัพท์ว่า ที่นี่มีแต่คนที่จบคณะรัฐศาสตร์หรืออักษร แถมทุกคนจบปริญญาโทหมดแล้ว ภาษาอังกฤษดีเลิศเลอทุกด้าน บางคนจบปริญญาโทสองใบ บางคนพูดภาษาที่สาม สี่ ห้า ได้ดีเหมือนเกิดที่นั่นด้วยซ้ำ ฉันคิดภาพองค์กรที่เธออยู่ออก เธอคาดคะเนให้ฉันฟังว่า น่าจะได้งานนี้เพราะจบเภสัชศาสตร์ ยุโรปเป็นทวีปที่มีบริษัทยาชื่อดังอยู่มาก แล้วบริษัทยาเหล่านี้ก็เข้ามาทำธุรกิจที่อาเซียนกันเยอะแยะ การมีบุคคลที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ แถมยังจบเภสัชศาสตร์ในองค์กร จะช่วยให้การประสานงานราบรื่นด้วยดีเป็นแน่ น่าแปลกที่สาขาวิชาที่เธอปฏิเสธนั้นกลับเป็นสิ่งที่ทำให้เธอได้งานในหน่วยงานนานาชาติที่เธอต้องการเสียอย่างนั้น

ชาร์ลอตต์สนทนากับฉันผ่านสายโทรศัพท์ว่า ตอนนี้เราสองคนก็เพิ่งเริ่มต้นชีวิตกันเนอะ เพราะพอมองย้อนกลับไปในช่วงวัย 20 กว่าๆ เราก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะก่อร่างสร้างอาชีพอย่างเป็นจริงเป็นจังเหมือนที่คนอื่นเขาทำกันเลย ฉันเห็นด้วยกับเธอ ว่าเราสองคนเริ่มต้นปักหลักช้ากว่าคนอื่น แต่ทุกอย่างก็เป็นการเลือกของพวกเราเอง เราเลือกสิ่งที่เราคิดว่าเราสนุก เราสุข เราหัวเราะ ในวัยอย่างนั้น เราอยากพาตัวเองไปเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง โดยหวังว่าชีวิตจะได้ตกตะกอนแล้วมีคำตอบที่ชัดมากขึ้น ถึงวันนี้คำตอบของพวกเราก็ชัดแล้วล่ะ เราเป็นแค่คนธรรมดาเหมือนคนอื่นๆ ที่กำลังต่อสู้ในโลกทุนนิยมเสรีใบนี้ เรากอดเกี่ยวความฝันของเรา โดยหวังว่ามันจะเป็นจริงในไม่ช้า ตอนท้ายของบทสนทนา เราต่างให้กำลังใจกันและกัน ฉันไม่รู้จริงๆ นะว่า ต่อแต่นี้ไป ชีวิตในช่วงเลข 3 ของฉันและเธอ จะประสบความสำเร็จไหม เราจะเป็นเหมือนเจ.เค.โรวลิ่ง หรือเปล่า ที่กว่าจะพบเจอสิ่งนั้นก็ต้องตกงาน หย่าร้าง ทะเลาะตบตีกับชีวิตอย่างหนักหน่วงเสียก่อน

แต่เอาเถอะ...เรามีประสบการณ์เป็นกระบุงโกย มีความสวยสง่าที่มากับวัย :) มีเทคนิคเด็ดๆ ไว้รับมือกับชีวิตตั้งมากมายอย่างที่ผู้หญิงวัยเลข 2 ไม่มี

แม้สิ่งเหล่านี้จะมาเยือนพร้อมกับไฝฝ้าและรอยตีนกาก็เหอะนะ >///<
               

ลงชื่อมิแรนด้า ฮอบส์

Tuesday, September 04, 2012

[People] หญิงสาวชื่อออม - ผู้คนที่อยากใ้ห้คุณรู้จัก








ฉันคิดว่าฉันรู้จักน้องออมในตอนที่ตัวเองเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วนะ

ตอนนั้นฉันเพิ่งเรียนจบหมาดๆ ได้งานทำในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บุคคลในองค์กรหนึ่งย่านสาธร เป็นงานที่ไม่เลวในสายตาของหลายคน เพราะองค์กรที่ทำตอนนั้นมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเข้ายากสุดๆ แห่งหนึ่ง (จริงๆ มันเป็นมายาคติน่ะ)

ฉันทำงานแล้วก็รู้สึกเบื่อๆ เลยลงเรียนเขียนบทและการแสดงกับพี่ที่เคยช่วยทำละครเวทีกันมาก่อน ในคลาสเรียนทุกวันเสาร์อาทิตย์นี่เองที่ฉันได้เจอน้องออม นิสิตสาวที่อยู่ๆ ก็ถามฉันว่า พี่ที่เคยทำละครเวที Hamburger Mob รึเปล่าคะ? จากนั้นเราก็คุยอะไรกันอีกเล็กน้อย ต่อมาภายหลังฉันก็พบว่าน้องออมสนิทสนมกับเพื่อนสนิทของฉันเป็นอย่างยิ่ง นาเดีย-เพื่อนสนิทคนนี้เองที่เชื่อมโยงให้ฉันกับน้องออมได้เจอและพูดคุยกันบ่อยๆ

จากนั้นฉันก็เปลี่ยนงาน หันมาเริ่มต้นอาชีพคนทำนิตยสาร ช่วงนั้นวุ่นๆ กับอะไรจิปาถะ จนทำให้ไม่ค่อยได้เจอน้องออมสักเท่าไหร่ แต่แปลกตรงที่ถ้าบังเอิญเจอกันตามห้าง (ซึ่งนานๆ จะเจอครั้ง) เรามักจะชวนกันไปจิบกาแฟ พูดคุยในหัวข้อที่สาวโสดไฟแรง (และไร้เดียงสาต่อโลก) มักจะคุยกัน เราคุยกันเรื่องเส้นทางอาชีพ ปรัชญาความรัก ความสัมพันธ์ของคนรอบข้างที่เราได้เรียนรู้ นักเขียนที่เราชื่นชอบ ถึงจะบังเอิญเจอกันไม่กี่ครั้งในรอบปี แต่แปลกที่เรามักจะคุยกันยาวและต่อกันติดเสมอ

จากนั้นฉันก็ทำนิตยสารมาเรื่อยๆ ขณะที่น้องออมก็เปลี่ยนจากการทำงานในวงการละครเวที ไปสู่วงการเพลงไทย น้องออมเป็นคนน่ารัก มีทักษะด้านการรวมคนได้อย่างยอดเยี่ยม ตอนนั้นออมได้เข้าไปดูแลวงดนตรีลาววงหนึ่งที่กำลังดังในไทย ค่ายเพลงที่ลาวเห็นแววว่าออมมีความสามารถด้านการจัดการ จึงชวนออมไปทำงานด้วยที่เวียงจันทร์ ที่นั่นออมถือเป็นเจ้าแม่ในวงการดนตรีสมัยใหม่ของลาวก็ว่าได้ ช่วงนั้นฉันมักจะแซวน้องออมบ่อยๆ ว่าเป็น พี่ฉอดแห่งวงการเพลงลาวไปเสียแล้ว อิทธิพลของออมในตอนนั้นประมาณนั้นเลยแหละ

ต่อมาออมก็กลับมาอยู่เมืองไทย มาทำประสานงานให้ค่ายเพลงสักค่าย ก่อนจะกลับไปช่วยที่บ้านที่เชียงรายดูแลสวนส้ม และธุรกิจทางเหนือ ขอบอกว่าโปรไฟล์ทางบ้านของออมไม่ใช่ธรรมดา ออมเป็นคนที่ถ้าอยากจะไปเรียนต่อโทและเอกที่เมืองนอกก็ทำได้ไม่ยากเลย แต่ออมก็เลือกจะทำงานและทำสิ่งที่คิดว่าตนเองรักอยู่ที่เมืองไทย ... เป็นสิ่งที่ตอนนั้น คนซึ่งอยากไปเรียนต่อเมืองนอกเมืองนาอย่างฉันยอมรับว่าไม่เข้าใจวิธีคิดของออมเลย

จากนั้นเราก็ห่างๆ กันไป นานๆ จะเจอกันครั้งหนึ่ง จนฉันย้ายกลับมาอยู่บ้านนอก และออมย้ายจากเชียงรายกลับมาอยู่กรุงเทพฯ อีกหน ออมบอกว่าอยากเปิดโรงเรียนอนุบาล ... นี่ไม่ใช่ความฝันเพ้อเจ้อแต่อย่างใด เพราะออมเรียนจบครุศาสตร์ ปฐมวัย มาเชียวนะ ออมน่ะรับมือกับเด็กๆ ได้สบายมาก แถมเธอยังมีปณิธานแรงกล้าว่าอยากทำงานสายนี้เพราะเป็นการปูรากฐานให้กับชีวิตคนคนหนึ่ง ตอนนั้นฉันเอาใจช่วยออมอยู่ห่างๆ จนต่อมารู้ว่า โครงการเปิดโรงเรียนของออมหยุดชะงัก เพราะเพื่อนร่วมคิดเปลี่ยนใจไปทำงานประจำในองค์กรใหญ่ ชีวิตสาวออฟฟิศเปี่ยมสีสันดึงดูดใจเพื่อนมากกว่า ออมเล่าให้ฟังในวันหนึ่ง

ฉันกลับไปเจอออมอีกทีในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา การลงกรุงเทพฯ หนนั้น ฉันนัดหมายว่าจะคุยเรื่องจิปาถะกับออมเช่นเคย แต่เพียงไม่กี่วันก่อนฉันจะไปเจอออม ฉันได้มีโอกาสสัมภาษณ์พี่โรส แห่งเรนโบว์ รูม ซึ่งเป็นศูนย์สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับเด็กที่มีภาวะความต้องการพิเศษ ฉันประทับใจพี่โรสมานานแล้ว เฝ้ารอโอกาสที่จะได้สัมภาษณ์พี่โรสมาตลอด พอสบช่อง นิตยสารเขาไฟเขียวให้พูดคุยกับพี่โรสได้ ฉันก็ลุยเลย เป็นการพูดคุยที่ฉันประทับใจและยังจดจำมาจนถึงทุกวันนี้

แล้วถัดมาอีก 3-4 วันฉันก็นัดจิบกาแฟกับน้องออม เราคุยกันหลากหลายประเด็นมาก ตั้งแต่เรื่องน้ำท่วมเมื่อปีกลาย เส้นทางชีวิตที่กำลังก้าวเดินไปในวัย 30 ความฝันใฝ่ที่เราอยากทำให้เป็นจริง จนสักพักเราก็คุยกันเรื่องโรงเรียนอนุบาล และเด็กๆ แล้วอยู่ๆ ฉันก็เล่าเรื่องที่เพิ่งไปคุยกับพี่โรสแห่งเรนโบว์ รูม ให้ออมฟัง ออมก็เล่าถึงพี่เกี้ยว พงษ์ไพบูลย์ (ลูกสาวคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์) ซึ่งออมได้รู้จักจากการทำงานละครเวทีให้ฟังว่า พี่เกี้ยว ก็เคยเล่าถึงเรนโบว์ รูม ไว้ แล้วในตอนนั้น เรานั่งคุยกันอยู่ย่านอารีย์ ซึ่งมีร้านหนังสือของพี่เกี้ยวอยู่แถวนั้น พอพี่เกี้ยวเดินผ่านมา เราเลยเดินเข้าไปสวัสดี พอคุยกันถึงเรื่องเรนโบว์รูม พี่เกี้ยวก็บอกว่าสนิทสนมกับพี่โรส เห็นว่าพี่โรสต้องการคนมาช่วยทำงานอีก 1 คน ซึ่งด้วยความพอเหมาะพอเจาะทั้งหมด ทั้งออมชอบทำงานกับเด็ก ออมเก่งด้านประสานงานกับบุคคล ออมจบปฐมวัยมา พี่เกี้ยวจึงโทรแนะนำออมให้พี่โรสรู้จัก โดยใช้ประโยคว่า ฉันมีนางฟ้ามาให้เธอ

วันรุ่งขึ้น ฉัน ออม นาเดีย (อดีตคนในวงการละครเวทีที่ผันตัวมาทำงานพีอาร์) และน้องฝ้าย (รุ่นน้องของออมที่ครุศาสตร์) ก็แวะไปเรนโบว์รูม พี่โรสกับออมคุยกันได้เข้าขามากๆ ฉันคิดว่าพี่โรสมองออกว่าออมเหมาะกับการทำงานที่นี่ ในการพบกันหนนั้น พี่โรสเชื้อเชิญออมให้ลองมาทำงานด้วยกันดูสัก 1 สัปดาห์ ลองดูว่าสุดท้ายออมจะชอบจริงไหม หลังการเชื้อเชิญหนนั้นฉันไม่ได้ตามข่าวออมอีกเลย เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องกลับต่างจังหวัดและจัดการเรื่องส่วนตัว พอรู้ตัวอีกทีก็ต้นเดือนกรกฎคมแล้ว เดือนนั้นนั่นเองที่ฉันคิดถึงออม จึงส่งข้อความไปถามไถ่

ออมเล่าว่า ตอนนี้ออมได้เข้าไปทำงานในตำแหน่ง Communication Manager ที่เดอะเรนโบว์รูมแล้ว ออมมีความสุขกับงานมาก จริงๆ ด้วยศักยภาพของออม ออมสามารถก้าวไปทำงานในองค์กรใหญ่โต เม็ดเงินสูงได้ แต่ออมเลือกจะไม่ทำ ออมค้นพบว่าตัวเองอยากทำงานกับเด็ก และในอนาคตก็คงเปิดโรงเรียนอนุบาลให้จงได้ เป็นความฝันที่ฉันยังคงเอาใจช่วยออมเสมอ ออมทำได้แน่ๆ ... ในสักวันหนึ่งอันใกล้นี้แหละ

ตอนที่ฉันเจอออม เราทั้งคู่ต่างยังคงมีด้านที่ไร้เดียงสาต่อโลก ตอนนี้ฉันพูดไม่ได้เต็มปากว่าเรายังคงเป็นผู้หญิงในวันก่อนไหม แต่ขณะเดียวกัน เราก็ยังเป็นคนที่มีความฝันใฝ่และกำลังพยายามทำมันให้ได้ดีอยู่ ความฝันของออมตอนนี้คือได้อยู่กับเด็กและพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นผ่านองค์ประกอบเหล่านี้ เป็นจุดยืนอันแน่วแน่ที่ฉันชื่นชม หลงรัก และอยากบอกว่าออมกล้าหาญและสง่างามมาก

มันคงเป็นความกล้าหาญและสง่างามที่วันและวัยมอบให้แก่เราทุกคนแหละมั้ง...คิดว่านะ

Sunday, September 02, 2012

[บทความส่วนตัว] : รีวิวหนังสือ: เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด



รีวิวหนังสือ: เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด



เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด 

         
      ช่วงงานสัปดาห์หนังสือเมื่อต้นเดือนเมษายนที่เพิ่งผ่านมา บูธอมรินทร์มีหนังสือแปลจากเกาหลีเล่มหนึ่งวางขาย ปกหนังสือเล่มนี้เป็นสีส้มเปล่งประกายสะดุดสายตา แถมยังมีชื่อดึงดูดใจให้หยิบพลิกดู เล่มที่ว่าคือ เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด เขียนโดย คิมรันโด อาจารย์มหาวิทยาลัยโซล คุณพ่อของลูกชายวัย 20 ปีและลูกชายซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น หนังสือเล่มนี้สร้างปรากฏการณ์ขายได้มากกว่า1 ล้านเล่มภายใน 8 เดือน ถือเป็นหนังสือขายดีอันดับหนึ่งของเกาหลีใต้ตั้งแต่ช่วงแรกที่วางแผง (กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554) ไปจนถึงช่วงกรกฎาคมปีเดียวกัน* ทั้งยังเป็นที่กล่าวขวัญถึงจากคนทั่วทั้งเกาหลี เซเลบริตี้ชื่อดังของประเทศอย่างคิมแจจุง วง JYJ ยังเคยนำมาทวีตแนะนำให้แฟนคลับซื้อหามาอ่านด้วย    

         
ในเมืองไทย หนังสือเล่มนี้ถูกจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สปริงบุ๊กส์ ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์น้องใหม่ในเครืออมรินทร์ ข้างหลังเล่มเขียนประเภทหมวดหมู่หนังสือไว้ว่าอยู่ใน “หมวดจิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง” ซึ่งชวนให้เข้าใจผิดได้ง่ายว่าหนังสือที่อาจารย์คิมรันโดเขียนขึ้นนี้ เป็นหนังสือแนว “ฮาวทู” ทว่าหนังสือปกสีส้มสดใสเล่มนี้ ช่างคิด กินใจ และลึกซึ้งกว่านั้น เพราะเป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นจากปลายปากกาของคนในช่วงวัยปลาย 40 ผู้ผ่านโลกมาระยะหนึ่ง ทั้งผู้เขียนยังเป็นคุณพ่อของลูกชายวัยรุ่น เป็นอาจารย์ของคนหนุ่มสาวจำนวนมาก เชื่อว่าเนื้อหาอันชวนกระตุกต่อมคิดและแสนเข้าใจโลกยุคใหม่ภายในเล่ม ถูกตั้งใจเขียนขึ้นเพื่อลูกชายและลูกศิษย์ที่อยู่รายรอบชีวิตนั่นเอง  

              
ว่ากันตามตรงแล้ว ในแผงหนังสือบ้านเรานั้น มีหนังสือในเชิงเตือนใจและให้ข้อคิดออกมามากมาย (โดยเฉพาะแก่คนหนุ่มสาวผู้สับสนและเจ็บปวด) แล้วอะไรที่ทำให้ เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด ของคิมรันโด น่าประทับใจและแตกต่างจากเล่มอื่น คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้คือ เพราะหนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยความเอื้ออารี ให้ความหวัง แต่ก็ยังเข้าใจโลก ตัวหนังสือของอาจารย์คิมเรียบง่าย ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ไม่ต้องปีนบันไดตีความหลายชั้น ทั้งยังไม่พยายามจะ “แนว” จะ “เก๋” จะ “เท่” ไปจนถึง “เท่มาก” แบบที่หนังสือสมัยใหม่บางเล่มนิยมเป็น ทุกตัวอักษรของอาจารย์คิมสะท้อนความรักความเมตตา ขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นถึงความช่างอ่าน ช่างคิด ช่างใฝ่รู้ของท่านด้วย สังเกตจากการยกตัวอย่างข้อคิดเตือนใจที่ท่านหยิบยกมาจากหนังบ้าง จากหนังสือบ้าง จากบทสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์บ้าง จากศิลปะบ้าง จากดนตรีบ้าง แม้กระทั่งเรื่องที่ศิลปินชื่อดังของเกาหลีใต้ฟ้องร้องต้นสังกัดด้วยกรณี สัญญาทาส อาจารย์คิมก็ยังทราบและหยิบมาเขียนเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยถึง ซึ่งนั่นสะท้อนถึงความช่างสังเกตปรากฏการณ์ในสังคมเกาหลีใต้และโลกรอบตัวของ ท่านได้เป็นอย่างดี    

        
แม้จะไม่ “แนว” แต่หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ “เชย” เรียกได้ว่าห่างไกลจากความล้าสมัยไปหลายล้านขุม เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด เป็นเหมือนจดหมายที่เขียนถึงวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวด้วยความรัก เป็นจดหมายที่เต็มไปด้วยความจริงใจและอบอุ่น ตัวหนังสือของคิมรันโดได้ถักทอข้อคิดดีๆ และเรียงร้อยสิ่งที่วัยรุ่นและคนหนุ่มสาวควรรู้ออกมา ไม่ใช่สิ …ไม่ใช่สิ่งที่วัยรุ่นและคนหนุ่มสาวควรรู้เท่านั้น หลายเรื่องเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรรู้ด้วยซ้ำ 

            
หนังสือแบ่งออกเป็น 4 พาร์ท 42 บท (ไม่รวมถึงบทส่งท้าย ซึ่งเขียนถึงลูกชายที่รักของพ่อ) แค่บทแรก อาจารย์คิมก็ปล่อยหมัดฮุกตั้งคำถามให้เราฉุกคิดว่า “นาฬิกาชีวิต: ตอนนี้ชีวิตของคุณกี่โมงแล้ว” โดยท่านถามว่า หากเปรียบชีวิตเหมือนนาฬิกาในหนึ่งวัน ตั้งค่าให้อายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 80 ปี ขณะนี้ชีวิตเรากี่โมงแล้ว ซึ่งคำตอบที่ได้เป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนประหลาดใจ เพราะชีวิตที่เราคิดว่าดำเนินมานานแสนนานแล้วนั้น อาจอยู่ในช่วงเช้าตรู่ของวันก็เป็นได้ เพราะหากคุณอายุ 20 ปี นาฬิกาชีวิตของคุณจะตรงกับเวลา 6 โมงเช้า ชีวิตเพิ่งเริ่มต้น …หากอายุ 30 ปี นาฬิกาชีวิตจะตรงกับ 9 โมงเช้า อันถือเป็นเวลาเริ่มงานของหลายคน …หากอายุ 35 ปี นาฬิกาชีวิตจะอยู่ที่ 10 โมงครึ่ง ซึ่งถือเป็นยามสายที่ร่างกายพร้อมทำอะไรหลายอย่างแล้ว …และหากอายุ 40 ปี นาฬิกาชีวิตจะตรงกับตอนเที่ยง พระอาทิตย์ยังคงร้อนแรงและเหลือเวลาอีกมากมายกว่าจะหมดวัน …เห็นไหมว่าชีวิตไม่ได้ดำเนินมายาวไกลจนเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เสียหน่อย          

   
ในบทที่ 3 คิมโดรันพูดถึงเรื่อง “ฤดูกาลที่ตัวคุณผลิบาน” โดยเล่าถึงดอกไม้แต่ละชนิดซึ่งผลิบานในฤดูกาลของมันเอง ดอกบ๊วย ดอกซากุระ ดอกกุหลาบ ดอกทานตะวัน ดอกเบญจมาศ ดอกคามิลเลีย ดอกไม้เหล่านี้ล้วนผลิบานอย่างงดงามในช่วงเดือนที่แตกต่างกัน ดอกไม้ต่างมีช่วงเวลาเปล่งประกายเป็นของตัวเอง เช่นกันกับคนเรา เขายังยกตัวอย่างคิมแดจุง อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งถูกจำคุกในวัยที่อายุยังน้อยด้วยเหตุผลความขัดแย้งทางการเมือง เรียกได้ว่าดอกไม้ของท่านไม่ได้ผลิบานในช่วงวัยเยาว์ แต่ในที่สุดท่านก็ได้เป็นประธานาธิบดี และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพขณะอายุ 75 ปี              

   “คุณกำลังท้อแท้อยู่ใช่ไหม ขณะที่เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันเริ่มทยอยประสบความสำเร็จ มีเพียงคุณเท่านั้นที่ยังดูเลื่อนลอยอยู่ใช่ไหม ถ้าคุณกำลังคิดแบบนี้ อย่าลืมเรื่องที่ผมเพิ่งบอกไป ดอกไม้แต่ละชนิดผลิบานในฤดูกาลของมันเอง ตอนนี้อาจยังไม่ถึงช่วงเวลาของคุณ อาจสายไปหน่อยเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่ถ้าฤดูกาลนั้นมาถึง คุณจะงดงามไม่แพ้ดอกไม้ชนิดอื่น ดังนั้นในช่วงเวลาที่ต้องรอคอย จงเตรียมตัวให้พร้อม” คิมรันโดเขียนไว้ในย่อหน้าสุดท้ายของบทที่ 3 หลายคนหลงรัก (หนังสือ) เขาก็จากบทนี้               


บทที่ 21 ก็เป็นอีกบทที่น่าประทับใจ บทนี้มีชื่อยาวเหยียดว่า “การเลิกล้มภายในสามวันเป็นเรื่องปกติ เพราะรูปแบบของชีวิตไม่ใช่การตัดสินใจที่แน่วแน่ แต่เป็นการฝึกหัด” ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการล้มเลิกความตั้งใจกลางคันทั้งที่เริ่มต้นอย่าง มุ่งมั่น อาจารย์คิมชี้แนะว่า ทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เด็กหรือคนชรา ร่ำรวยหรือยากจน หรือแม้กระทั่งคนที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุด ต่างก็สามารถล้มเลิกสิ่งที่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ได้ภายใน 3 วันเหมือนกันหมด เหตุเพราะมักติดกับดักพฤติกรรมเคยชิน หากต้องการปรับปรุงพฤติกรรมเคยชิน ต้องฝึกทำสิ่งนั้นซ้ำๆ อย่างน้อยที่สุดหนึ่งเดือน ไม่ใช่ภายใน 3 วัน แต่ต้องทำซ้ำๆ ตลอด 30 วัน คาถาสำคัญที่อาจารย์ขวัญใจนักศึกษาเกาหลีใต้ได้ให้ไว้ในบทนี้คือ ไม่ต้องรอพรุ่งนี้ แต่ต้องลงมือทำในวันนี้ทีละเล็กทีละน้อย


 อีกบทที่ไม่อยากให้พลาดก็คือ บทที่ 40 เรื่อง “จงขึ้นรถไฟชีวิตสักครั้ง” โดยอาจารย์คิมเขียนแนะนำนักศึกษาที่กำลังจะก้าวไปสู่โลกแห่งการทำงานว่า บริษัทต่างๆ อยากได้คนที่ทำงานเป็นจริงๆ ไม่ใช่คนที่มีลิสต์ความสามารถในใบสมัครงานยาวเป็นหางว่าวแต่ชีวิตนี้ไม่เคย ทำงานจริงจังเสียที ดังนั้นอย่ามัวแต่ลังเล จงขึ้นรถไฟชีวิตเพื่อเริ่มต้นเดินทาง เพราะงานแรกไม่ใช่ตัวตัดสินความสำเร็จของชีวิต              
       ”ความจริงแล้วงานที่สำคัญที่สุดในชีวิตไม่ใช่งานแรก แต่เป็นงานสุดท้าย อย่ารีบร้อนตัดสินผลแพ้ชนะจากการประลองครั้งแรก การแข่งขันต้องดูนานๆ ถึงจะรู้ว่าท้ายที่สุดใครเป็นผู้ชนะ …สิ่งสำคัญไม่ใช่จะออกเดินทางแบบไหน แต่จะก้าวออกเดินทางในชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร”



 เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด เป็นหนังสือที่โด่งดังและมีอิทธิพลต่อนักศึกษาเกาหลีในปีที่แล้ว (พ.ศ.2554) เป็นอย่างมาก เหตุผลที่ตัวอักษรของคิมรันโดสามารถสร้างกระแสต่อสังคมได้ในวงกว้าง เพราะสังคมเกาหลีใต้นั้นเต็มไปด้วยการแข่งขัน เด็กแทบทุกคนครอบครองเป้าหมายเดียวกันคือหักโหมกวดวิชาเพื่อสอบเข้า มหาวิทยาลัยดีๆ ให้ได้ โดยคิดว่านั่นคือความสำเร็จอันจะนำมาซึ่งความสุข แต่อาจารย์คิมผู้ซึ่งผ่านโลกมาใกล้วัย 50 ปีรู้ดีว่า นั่นคือเป้าหมายที่มีข้อบกพร่อง ความสำเร็จกับความสุขอาจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เขาจึงลุกมาเขียนหนังสือเพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่เขาเคยประสบและเรียนรู้ เพื่อแบ่งปันความจริงและความเจ็บปวดในชีวิตนั่นเอง 
            
เพราะความเจ็บปวดเป็นของคนทุกวัย ไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาว จะสวยธรรมชาติหรือหล่อด้วยกลูต้า จะเป็นพนักงานออฟฟิศผู้สับสนหรือเป็นเซเลบทวิตเตอร์ จะเป็นคนขายก๋วยเตี๋ยวในตลาดเล็กๆ หรือเป็นผู้กุมนโยบายสำคัญของประเทศ จะเป็นผู้ชนะรางวัลเพลงแกรมมี่อะวอร์ดส์หรือผู้ถูกฉกชิงของรัก …ทุกคนล้วนเคยครอบครองความเจ็บปวดด้วยกันทั้งนั้น 
            
หนังสือเล่มนี้จึงไม่เพียงเหมาะกับวัยรุ่น หากแต่ยังเหมาะกับทุกคน ทุกคนที่อยากแสวงหาแรงบันดาลใจเล็กๆ ที่อบอุ่นและแสนอารี





 ข้อมูลหนังสือ: เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด เขียนโดย คิมรันโด แปลโดย วิทิยา จันทร์พันธ์ ราคา 199 บาท สำนักพิมพ์สปริงบุ๊กส์ มีนาคม พ.ศ.2555

[งานเขียนส่วนตัว] : รีวิวที่เกี่ยวข้องกับหนังสือและนักเขียน : อลิซาเบท สเตราต์ กับงานเขียนเกี่ยวกับชีวิตที่แสนอัศจรรย์


 
 
 
อลิซาเบท สเตราต์ กับงานเขียนเกี่ยวกับชีวิตที่แสนอัศจรรย์   

          
หากเปรียบเทียบกับชื่อเสียงเรียงนามของสเตฟานี เมเยอร์ ผู้เขียน ทไวไลท์ซีรีย์ หรือซูซานน์ คอลลินส์ ผู้เขียนหนังสือชุด เดอะฮังเกอร์เกมส์ แล้ว ชื่อของเอลิซาเบท สเตราต์ นักเขียนหญิงอเมริกันวัย 56 ปี คงไม่คุ้นหูคนไทยเท่าไหร่นัก สเตราต์เขียนนวนิยายมาแล้ว 3 เล่ม เพิ่งได้รับการแปลเป็นภาษาไทยเรื่องเดียว คือ โอลีฟ คิตเตอริดจ์ (Olive Kitteridge) หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 2008 และได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ประเภทนวนิยายในปี ค.ศ. 2009 หนังสือเรื่องก่อนหน้าของเธอคือ Amy and Isabelle (ค.ศ. 1998) และ Abide with Me (ค.ศ. 2006) ซึ่งทุกเล่มล้วนมีฉากหลังเกิดขึ้นในรัฐเมน รัฐที่เธอเกิดและเติบโตขึ้นมานั่นเอง



 เมืองแห่งวัยเยาว์
                 สเตราต์ถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวที่ค่อนข้างเคร่งครัด บ้านเกิดของเธอคือเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐเมน พ่อเป็นอาจารย์สอนวิทยาศาสตร์ในระดับมหาวิทยาลัย แม่เป็นครูสอนการเขียนที่โรงเรียนมัธยมปลาย เธอเล่าว่าเป็นเรื่องแปลกที่แม่เธอสอนการเขียนแต่ไม่เคยเขียนหนังสือเป็น เล่มออกมา* ทว่าเป็นแม่นั่นเองที่ซื้อสมุดบันทึกมาให้ตอนสเตราต์ยังเล็ก และบอกให้เธอบันทึกสิ่งที่เห็นออกมา ความรักการอ่านก่อตัวขึ้นเป็นนิสัยของสเตราต์ เธอรู้ตัวว่าอยากเป็นนักเขียนตั้งแต่วัยรุ่น และเริ่มส่งเรื่องสั้นไปให้นิตยสารต่างๆ ตั้งแต่อายุ 16 ปี แต่กว่าเรื่องสั้นเรื่องแรกจะถูกตีพิมพ์ก็ตอนเธออายุ 26 ปี และได้ตีพิมพ์นวนิยายเรื่องแรกตอนอายุ 42 ปี     
       
สเตราต์เรียนจบปริญญาตรีด้านวรรณกรรมจากมหาวิทยาลัยเบตส์ ก่อนที่จะทำงานหลากหลายอย่าง และเรียนต่อด้านกฎหมาย แต่พบว่าเธอไม่เหมาะกับงานด้านนี้ หลังเรียนจบเธอย้ายไปอยู่นิวยอร์ก แต่งงานกับสามีซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกฎหมาย (ก่อนที่จะหย่าร้างในภายหลัง) เริ่มงานสอนหนังสือที่วิทยาลัยชุมชน และเขียนหนังสืออยู่เสมอ แต่สเตราต์ไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่เขียน เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปในเรื่องที่เธอพยายามเล่า สเตราต์จึงตัดสินใจลงเรียนคลาสเดี่ยวไมโครโฟนเพื่อค้นหาสิ่งนั้น ก่อนจะพบว่าสิ่งที่ทำให้เธอเล่าได้อย่างลื่นไหลก็คือเรื่องของบ้านเกิดเมือง นอน เธอจำเป็นต้องกลับไปเมืองแห่งวัยเยาว์และเล่าเรื่องของผู้คนในเมืองแห่ง นั้น**



แรงบันดาลใจจากถิ่นกำเนิดคือวัตถุดิบสำคัญ 
           
นวนิยายทุกเรื่องล้วนต้องใช้วัตถุดิบ บางคนได้วัตถุดิบจากการอ่าน บ้างได้จากประสบการณ์ชีวิต แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกเรื่องต้องนำมาดัดแปลงและปรุงแต่งเติมจินตนาการเพิ่ม ทั้งนั้น แน่นอนว่าสเตราต์ใช้สิ่งที่เธอพบเจอจากเมืองเกิดมาเป็นแรงบันดาลใจ ผลลัพธ์ก็คือเรื่องเล่าทรงพลังอย่าง Amy and Isabelle เรื่องราวของคู่แม่ลูกในเมืองเล็กๆ ในรัฐเมนที่ไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง สเตราต์ใช้เวลาเขียนนวนิยายเรื่องแรกชิ้นนี้นานเกือบ 7 ปี ครั้นปี ค.ศ. 2006 เธอตีพิมพ์นวนิยายเล่มที่สองชื่อ Abide with Me คราวนี้เธอเปลี่ยนให้ตัวละครหลักของเรื่องเป็นผู้ชาย เรื่องราวเกิดในยุค 50 ตัวละครไทเลอร์ แคสกีย์ (Tylor Caskey) คือผู้ว่าการที่ต้องทนทุกข์จากการสูญเสียสิ่งที่รักในเมืองเล็กๆ แถบเวสต์แอนเน็ตต์ รัฐเมน เรื่องนี้ถือเป็นนวนิยายขายดี และเป็นอีกครั้งที่สเตราต์เล่าเรื่องของตัวละครธรรมดาให้กลับมีเสน่ห์ สะเทือนอารมณ์ แต่ก็จับหัวใจคนอ่านได้อยู่หมัดจากชีวิตสามัญนี้



โอลีฟ คิตเตอริดจ์: หลากชีวิตในเมืองครอสบี้  
        
 แม่ของเอลิซาเบท สเตราต์ บอกกับเธอหลังได้อ่าน โอลีฟ คิตเตอริดจ์ ว่า “นี่เป็นนวนิยายที่ดีที่สุดของลูก”***  ซึ่งนักอ่านหลายคนก็ลงความเห็นเช่นนั้น หลายคนหลงรักหนังสือเล่มนี้สุดหัวใจ นวนิยายเรื่องนี้ถูกร้อยเรียงขึ้นจากเรื่องสั้น 13 ชุด โดยมีตัวละคร “โอลีฟ คิตเตอริดจ์” ครูสอนเลขในโรงเรียนประจำเมืองครอสบี้ รัฐเมน เป็นศูนย์กลางและหัวใจของเรื่อง โอลีฟเป็นผู้หญิงร่างสูงใหญ่ ปากร้าย เธอรักสามีและลูกชาย แต่ไม่แสดงออก สามีเธอคือ เฮนรี คิตเตอริดจ์ เป็นเภสัชกรในเมืองที่อยู่ถัดไป ทั้งคู่มีลูกชายหนึ่งคนคือ คริสโตเฟอร์ ผู้เติบใหญ่มาเป็นคุณหมอรักษาเท้า และย้ายจากพ่อแม่ไปอยู่ไกลถึงแคลิฟอร์เนียก่อนปักหลักแต่งงานครั้งที่สองที่ นิวยอร์ก คริสโตเฟอร์ไม่ค่อยโทรหาแม่ เขาให้เหตุผลว่า “แม่มักทำให้คนรอบตัวรู้สึกแย่” แน่นอนว่าโอลีฟงุนงงและรู้สึกเจ็บปวดกับประโยคนั้น 
           
นอกจากครอบครัวของโอลีฟแล้ว เรายังพบเจอตัวละครผู้มีร่องรอยแตกร้าวอีกหลายชีวิต เช่นนักดนตรีในบาร์ที่ถูกความรักในอดีตตามหลอกหลอน ว่าที่จิตแพทย์ที่หมดแรงในการมีชีวิตอยู่ แม่ผู้อมทุกข์จากการแท้งลูก คู่แต่งงานที่ลืมเลือนไปแล้วว่าความหวานหอมของชีวิตคู่เป็นแบบไหน ชายชราการศึกษาสูงผู้ไม่แคร์ความตายแต่หวาดกลัวการถูกทิ้งไว้คนเดียว เป็นต้น ดูเหมือนทุกคนในเมืองครอสบี้ต่างมีสงครามส่วนตัวที่ต้องต่อสู้ นี่คือเรื่องราวของคนตัวเล็กที่ดิ้นรนเมื่อเจอความเปลี่ยนแปลงในชีวิต ซึ่งเมื่อได้หยุดอ่าน ก็คล้ายกับเรากำลังส่องกระจกเห็นชีวิตเราอยู่ในนั้น แม้อาจเป็นเพียงบางเสี้ยวมุมก็ตามที           
 
เอลิซาเบท สเตราต์ เขียนเรื่องราวเหล่านี้ได้ลึกซึ้งมาก อาจเพราะเธอสนใจชีวิตคนมานานมากแล้ว ในเว็บไซต์ส่วนตัวของเธอเขียนระบุไว้ว่า “สำหรับฉันแล้ว ไม่มีอะไรน่าสนใจมากเท่ากับชีวิตคน” และใน โอลีฟ คิตเตอริดจ์ สเตราต์ก็สะท้อนชีวิตสามัญของผู้คนหลากหลายออกมาได้อย่างถึงแก่น ว่าเราทุกคนล้วนหวาดกลัวความเดียวดาย เราล้วนต้องการความรัก …หรืออย่างน้อยที่สุด เราล้วนอยากมีใครสักคนที่คอยรับฟัง     
       
นี่คืองานเขียนเกี่ยวกับชีวิตสามัญที่แสนอัศจรรย์เล่มหนึ่ง 




หนังสือของเอลิซาเบท สเตราต์ ที่ได้รับการแปลเป็นภาษไทยเรียบร้อยแล้วคือ โอลีฟ คิตเตอริดจ์ แปลโดย อิศรา ราคา 200 บาท พิมพ์ครั้งแรกโดยแพรวสำนักพิมพ์ ธันวาคม พ.ศ. 2554 





อ้างอิง

*สัมภาษณ์กับบ็อบ ทอมป์สัน, วอชิงตันโพสต์, 4 กรกฎาคม ค.ศ. 2009
**เรื่องเดียวกัน                   
***เรื่องเดียวกัน

Tuesday, August 07, 2012

[บทความเขียนถึงหนังสือ] Women's Health - July 2012


[บทความเขียนถึงหนังสือ]



Women's Health Thailand
คอลัมน์ Reading Lists
Issue: July 2012





Happy Pills อัดเต็มความสุขด้วยตัวหนังสือว๊านหวานเหล่านี้
                ความหวานเป็นหนึ่งในคุณสมบัติหนึ่งของผู้หญิง แม้บางคนจะเอ่ยปากว่ามีปริมาณความหวานในตัวเองต่ำก็ตามที แต่ผู้หญิงทุกคนมีสิ่งนี้ แล้วเราก็ภูมิใจกับความหวานแบบหญิ๊งหญิงที่สร้างสีสันให้กับโลกมาก รสหวานที่กลมกล่อมทำให้หัวใจอัดเต็มด้วยความสุข ไม่ว่าจะเป็นความหวานที่มาในแบบไหนก็ตาม จะมาเป็นหน้ากระดาษหนังสือหวานๆ ก็ได้ ... ก็ทำให้สุขมากพอกัน ^^






แต่งงานกันเถอะ!           
ผู้เขียน : จอย สุนันท์ษา / สำนักพิมพ์ : อมรินทร์ How To
หนังสือที่โคตรจะ ผู้หญิง และเล่าเรื่องที่ผู้หญิงส่วนใหญ่โคตรจะสนใจ (อย่าปฏิเสธเลยค่ะ) อย่าง การแต่งงาน พิธีกรรมแห่งความรักที่หลายคนเชื่อว่า แพงมหาโหด แต่ผู้เขียนได้ค้นคว้าข้อมูลและผนวกรวมกับประสบการณ์จริง จนทำให้ค้นพบเรื่องราวน่าสนใจมากมาย นี่คือคู่มือจัดงานแต่งงานที่ทำให้ทุกฝันของบ่าว-สาวเป็นจริงได้ แม้คุณจะมีเงินเพียง 20,000 บาท หนังสือเล่มนี้อ่านสนุกและเป็นกันเอง ทำตัวประหนึ่งเพื่อนสนิทรู้ใจที่คอยช่วยคลี่คลายคำตอบให้คุณ ตั้งแต่ช่วงก่อนตัดสินใจแต่งงาน ช่วงวันแต่งงาน รวมถึงวิธีจัดงานแต่งงานเชิงสร้างสรรค์ ไม่ฟุ้งเฟ้อ เน้นความพอดีในสิ่งที่มีอยู่ และช่วงสุดท้ายที่สำคัญคือ การครองคู่หลังแต่งงาน...อ่านจบแล้วคุณอาจอยากหันไปพูดหวานๆ กับคนข้างกายว่า แต่งงานกันเถอะ เชียวล่ะ





โตเกียว ตัวคนเดียว
ผู้เขียน: ปาลิดา พิมพะกร /สำนักพิมพ์: ไต้ฝุ่น
                หนังสือปกสวยหวานที่เล่าเรื่องการใช้ชีวิตต่างแดนโดยลำพังของผู้หญิงคนหนึ่ง การต้องเรียนร่วมกับเพื่อนต่างชาติต่างภาษา ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของผู้เขียน ความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นเพื่อกลับมาทำงานแปล รวมถึงความขยันเที่ยว ขยันกิน และขยันเดินทางอย่างประหยัด ทำให้ประสบการณ์หนึ่งปีในญี่ปุ่นของเธอคับคั่งไปด้วยรายละเอียดใหม่ๆ แถมมุมมองที่ปาลิดา ผู้เขียนมองโลก ยังทำให้เรารู้สึกถึงความละมุนละไม จนส่งผลให้ เมืองโตเกียวที่เธอเล่าถึง ดูน่าคบหาและน่าแพ็กกระเป๋าไปทำความรู้จักมากขึ้นกว่าเดิมเยอะทีเดียว





Shopaholic Therapy บำบัดช้อป...ให้เหลือใช้ (จะได้รวยกับเขาสักที)
ผู้เขียน: จรินพร ตันติกิจศิริวงศ์ /บรรณาธิการ:  เบนซ์-พรชิตา ณ สงขลา / สำนักพิม์: บิสซี่เดย์
                 หนังสือเล่มนี้ออกแนวหวานปนเปรี้ยว แถมยังเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าดีๆ นี่คือคู่มือที่จะมาตอบโจทย์คุณว่า งานดี... เงินดี แต่ทำไมไม่เคยมีเงินเหลือเก็บเหลือใช้ ...เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา? ผู้เขียนนำเสนอแนวทางบำบัดช้อปสำหรับสาวยุคใหม่ ที่อาจขาดวินัยทางการเงินขั้นวิกฤต หนังสือเล่มนี้จะช่วยปฏิวัติการใช้เงินของคุณและทำให้คุณวางแผนการเงินอย่างฉลาดเฉลียว ด้วยแนวทางที่เข้าใจง่าย อ่านสนุก ... แต่อย่ามัวอ่านเพลิน ลุกมาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมช้อปเพื่อให้ชีวิตมีเงินเหลือเก็บดีกว่า
                สาวนักช้อป ไม่ควรพลาด!






Little Pink Book Of Elegance: The Modern Girl's Guide to Living in Style
ผู้เขียน: Jodi Kahn / สำนักพิมพ์: Peter Pauper Press
                ‘ความงามสง่าดูจะเป็นจุดหมายที่หญิงสาวหลายคนเฝ้าไขว่คว้า เราไม่ได้จะยุยงให้คุณหมกมุ่น อาการงามสง่าขนาดนั้น ขณะเดียวกัน เราก็ไม่อยากให้คุณคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกลจากชีวิตผู้หญิงธรรมดาอย่างคุณ ผู้หญิงคนไหนก็งามสง่าได้หากเพียงแค่รู้เคล็ดลับ และหนังสือปกชมพูหวานสวยเล่มนี้ก็ได้เผยเคล็ดลับทำได้จริงให้หญิงสาวยุคใหม่ได้รู้ ตั้งแต่เรื่องนอกกายอย่างการแต่งตัวและเครื่องประดับ ทั้งเรื่อง 10 ไอเท็มที่ผู้หญิงทุกคนควรมีติดตู้เสื้อผ้า ยันเรื่องสถิติเกี่ยวกับชุดชั้นในผู้หญิงที่ทำเอาขำกลิ้ง นอกจากนี้ Jodi Kahn คนเขียนยังพาเราไปรู้จักทิปน่าสนใจเกี่ยวกับการไปสปา การแต่งบ้าน การจัดเก็บของให้เข้าที่ การผ่อนคลายอย่างมีรสนิยม การเขียนบันทึก ไปจนถึงเรื่องความงามจากภายใน
                อ่านสนุก และมีเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ น่าสนใจเต็มไปหมด แถมมีเวอร์ชั่น Kindle จำหน่ายด้วย ... อยากประหยัดงบอย่างงามสง่า จงเลือกแบบหลัง ^^

[บทความสัมภาษณ์] พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ - A man with brain

[บทความสัมภาษณ์]





Men's Health Thailand
คอลัมน์ MH Guy
Issue: July 2009
เรื่องโดย เจดีย์ (a.k.a. Tiktok)



พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
A man with brain

ถ้าคุณติดตามรายการโทรทัศน์ และนิตยสารต่างๆ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา คุณน่าจะคุ้นหน้าและชื่อของชายหนุ่มอายุ 28 ปีคนนี้มาบ้าง โดยตัวตนแง่มุมหนึ่งของ ทิม - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่นิตยสารหลายๆ เล่ม รวมถึงบทสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์นำเสนอนั้น มักสะท้อนภาพให้เราเห็นว่าหนุ่มคนนี้คือผู้ชายฉลาดที่มาพร้อมกับสมอง แน่นอนทีเดียวล่ะ ถ้าพิจารณาดูจากสถานภาพในปัจจุบันของเขา ที่กำลังศึกษาปริญญาโทถึงสองใบพร้อมกันอยู่ที่ Harvard University และ Massachusetts Institute of Technology (M.I.T.)  สหรัฐอเมริกา พร้อมกับดูแลกิจการบริษัทด้านการเกษตร 2 บริษัทที่มียอดขายมูลค่าพันล้านบาทต่อปี เราย่อมบรรยายถึงหนุ่มคนนี้ด้วยคำคุณศัพท์ใดไม่ได้ใจความเท่า ฉลาด เป็นแน่ ทว่า หลังจาก Men’s Health ได้ใช้เวลาพูดคุยกับเขาในบ่ายวันหนึ่ง เราพบว่า นอกจากฉลาดแล้ว หนุ่มบนปกของเราคนนี้ยังเป็นมนุษย์ที่แข็งแรงอีกด้วย ทั้งนี้คำว่า แข็งแรง ในความหมายที่ Men’s Health กำลังพูดถึงนี้ เราหมายความว่า เขามีร่างกายที่สมบูรณ์ดีเพราะออกกำลังกาย, มีความคิดและเป้าหมายชีวิตที่เข้มแข็งว่าอยากนำความรู้มาพัฒนาประเทศ, พร้อมๆ กับมีหัวใจแข็งแกร่งแต่อ่อนโยน ที่อยากเห็นสิ่งดีๆ เกิดขึ้นแก่ผู้คนบนโลก

นั่นเป็นที่มาที่เราตั้งชื่อบทสัมภาษณ์นี้สั้นๆ ว่า A man with brain

แต่แท้จริงแล้ว มันมาจากชื่อที่ยาวกว่านั้นว่า A man with brain, a man with health, and a man with heart ต่างหากล่ะครับ







Brain & Smart Part

ช่วงที่ Men’s Health ได้คุยกับหนุ่มทิมคนนี้ เป็นช่วงปิดเทอมหน้าร้อนของมหาวิทยาลัยที่อเมริกา โดยตอนนี้เขาเรียนปริญญาโทควบ 2 ใบ ใบหนึ่งด้านการเมืองการปกครอง สาขาสภาวะผู้นำ ที่ John F. Kennedy School of Government Harvard University และปริญญาโทอีกใบด้านบริหารธุรกิจที่ Sloan, M.I.T ซึ่งสำหรับคนที่เรียนจบปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ การเงินการธนาคาร ภาคภาษาอังกฤษ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างเขา เราไม่สงสัยว่าทำไมเขาเลือกเรียนต่อ MBA ที่ M.I.T อยู่แล้ว ทว่าเพราะอะไรทำให้เขาสนใจเรียนการเมืองที่ Harvard กันล่ะ?

หลังเรียนจบปริญญาตรี ผมได้เข้าทำงานภาคเอกชน 4 ปี จากนั้นก็ไปเกี่ยวข้องกับภาครัฐอีก 1 ปี แล้วสนใจอยากเรียนการเมืองการปกครอง เลือกที่ Harvard เพราะที่นี่เป็นแหล่งรวมคนเก่งๆ จากทั่วโลก ที่พูดนี่ยกเว้นผมนะ (ยิ้ม) คือผมมองว่า เราเรียนตรงนี้ จะได้ไม่ต้องเรียนกับอาจารย์แค่คนเดียว ทว่ายังสามารถเรียนรู้จากเพื่อนร่วมชั้นได้หมดเลย

อีกอย่างชีวิตผมอยู่เมืองนอกเสียเป็นส่วนใหญ่ ตอนมัธยมก็ดื้อจนที่บ้านส่งไปเรียนนิวซีแลนด์ แล้วคนที่ไปอยู่ต่างประเทศนานๆ คงรู้ว่า ยิ่งอยู่เมืองนอกก็ยิ่งคิดถึงบ้านเท่านั้น ยิ่งอยู่ห่างเมืองไทยเท่าไหร่ ยิ่งอยากรู้ว่า เมืองไทยเป็นยังไง วัฒนธรรม, ศิลปะ, และการเมืองเป็นอย่างไร แล้วตอนที่อยู่นิวซีแลนด์ เวลาบอกใครว่ามาจากเมืองไทย เค้าจะพูดแต่ว่ารู้จักพัฒน์พงศ์ หรืออะไรที่ไม่ดี แล้วพอมีวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2540 ประทศอย่างเกาหลีใต้ อินเดีย หรืออินโดนีเซีย ก็เจ๊งพร้อมเรา แต่ตอนนี้เค้าก็ไปไกลกว่าเราแล้ว มันก็เลยฝังว่าอยากนำความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่พอมีเข้ามาพัฒนาประเทศบ้าง เป็นฟันเฟืองเล็กๆ สักอันหนึ่ง แต่ว่าในสถานะไหนก็ไม่ได้คิด

แล้วก็คิดว่า เรื่องเศรษฐกิจน่าจะเป็นหัวใจหลักเรื่องนึงในการพัฒนาประเทศ แต่ถ้าเรารู้แต่ภาคเอกชน ก็อาจไม่ทั่วถึง หรือถ้ารู้แต่ภาครัฐ ไม่รู้เอกชนเลย ก็อาจออกนโยบายผิด มันก็เกลาไม่ถูกทิศทางเสียที ซึ่งผมอยากเห็นเหรียญทั้งสองด้าน เพราะว่าเราก็รู้อีกด้านนึงมาแล้ว เลยตัดสินใจไปเรียนการเมืองการปกครอง แต่หลังจากเรียนได้ไม่กี่เดือน ก็มีจุดเปลี่ยน คือคุณพ่อเสียหลังจากผมไปเรียนได้ไม่นาน เสียวันรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549”

จากการเสียชีวิตของคุณพ่อครั้งนั้น ทำให้หนุ่มทิมในวัย 26 ปี ต้องกลับมาดูแลกิจการของครอบครัว ที่ตอนนั้นกำลังก่อร่างสร้างบริษัทและมีหนี้เงินกู้ธนาคารที่เป็นตัวเลขสูงมาก ทว่าด้วยแนวคิดที่ว่า อย่าไปคิดอะไรมาก ก็ทำให้เขาพาบริษัทและทีมงานกว่า 200 ชีวิตที่เค้าเรียกว่า ครอบครัว พ้นวิกฤต และกลายมาเป็นบริษัทด้านการเกษตร ที่ปัจจุบันมียอดขายมูลค่าพันล้านบาทต่อปีได้

จริงๆ ช่วงนั้นผมก็ถือว่าได้นอนหลับเต็มอิ่มอยู่ตลอดเวลานะครับ ผมว่าในการแก้ปัญหา บางทีเราไม่รู้มากก็ดีนะ เพราะยิ่งรู้มากก็ยิ่งคิดไปล่วงหน้า ความทุกข์เกิดจาก 2 อย่างคือ มองไปข้างหน้ามากเกินไป หรือมองไปข้างหลังมากเกินไป ไม่อยู่กับปัจจุบัน สำหรับผม เชื่อว่า อย่าไปคิดมาก อะไรเกิดขึ้นดีหมด เพราะมีคนที่เค้าทุกข์ยากกว่าเราเยอะ อยู่กับปัจจุบันดีกว่า ตอนนั้นก็จัดการปัญหาไปเรื่อยๆ ตื่นเช้ามามีอะไรก็ทำไป เรียกว่า ตาบอดไม่กลัวเสือ





Health & Mind Part

                อีกด้านหนึ่งนอกจากฉลาดแล้ว หนุ่มคนนี้ยังเป็นหนุ่มที่เล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก เพราะคุณพ่อคุณแม่มักจะพาไปสปอร์ตคลับนั่นเอง

                “ความสนใจอื่นๆ ของผม คงเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป คือชอบเล่นกีฬา เล่นดนตรี ถ่ายรูป โดยกีฬานี่เล่นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว คือ คุณพ่อคุณแม่จะเอาไปทิ้งไว้ที่โปโล สปอร์ตคลับ ช่วง 8 โมงเช้า 2 ทุ่ม ค่อยมารับ ผมก็เล่นอยู่ที่นั่นแหละ ฟุตบอล สควอช แบดมินตัน ว่ายน้ำ ฟิตเนส ก็เล่นหมด เล่นไม่เก่งหรอกครับแต่ว่าสนุกที่จะเล่น แล้วตอนไปอเมริกา ก็จะเล่นควอชเยอะเป็นพิเศษ หน้าร้อนเน้นขี่จักรยานเสือภูเขา หน้าหนาวก็เล่นสโนว์บอร์ด โดยสโนว์บอร์ดนี่เริ่มเล่นตั้งแต่อยู่ที่นิวซีแลนด์ เพราะประเทศเค้าเงียบมาก ไม่มีอะไรทำ ก็เลยต้องออกกำลังกาย เล่นรักบี้ เล่นคริกเก็ตกับฝรั่งเค้าไป

 “ส่วนเรื่องแบ่งเวลาดูแลตัวเองนี่ ผมมองว่าวันนึงคนเรามีเวลา 24 ชั่วโมง  ก็แบ่งทำงาน 8 ชั่วโมง นอนพักผ่อน 8 ชั่วโมง เที่ยวอีก 8 ชั่วโมง ถ้าทำได้อย่างนี้มันจะเป็นชีวิตที่มีสมดุลนะ อีกอย่างคือทำจิตใจให้สบาย ฝรั่งเค้าวิจัยมาแล้ว ว่าโรคเกือบ 90% ของร่างกายมาจากจิตใจซะเป็นส่วนใหญ่ ถ้าจิตใจบอกว่าไม่สบาย ร่างกายก็ไม่สบาย นอกจากนี้ผมก็พยายามดูแลตัวเองโดยออกกำลังกายแต่พอดี ตอนนี้แก่แล้ว เข่าไม่ค่อยดี เล่นควอชกับฟุตบอลเยอะ ทำให้เข่าไม่ดี ตอนนี้ก็จะเล่นแต่พอประมาณๆ แล้วก็นอนเยอะๆ ผมใช้หลักคิดง่ายๆ ว่า เอาของดีเข้าตัว เอาของไม่ดีออก ของดีก็คืออาหารการกิน ส่วนของไม่ดีที่ต้องเอาออกก็คือพวกความคิดที่ไม่ดี รวมทั้งเหงื่อด้วย บางทีผมจะไปสตรีมนะ ผมชอบสตรีมมาก ยิ่งถ้าคนน้อยๆ จะไปนั่งสมาธิอยู่เงียบๆ คนเดียวในห้องสตรีม แล้วก็ให้เหงื่อออก

เอ...ฟังดูเหมือนหนุ่มคนนี้จะสนใจเรื่องธรรมะด้วย

                ก็ไม่ได้เว่อร์ขนาดนั้น อ่านบ้าง แต่ไม่ได้มีความรู้อะไรเยอะกว่าคนอื่น เวลามีปัญหาก็มักจะคิดอยู่เสมอว่าอย่าไปคิดอะไรมาก ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม คือคนส่วนใหญ่จะกลุ้มก่อน ไปกังวลกับอนาคคตเสียใหญ่โต หรือว่ากลุ้มเพราะกังวลกับสิ่งที่เคยเกิดในอดีต ผมก็เคยเป็น เพราะกลัวหมอฟันมาก เวลาจะไปหาหมอทีจะนั่งกังวลทั้งวัน เพื่อพบว่าไปแล้วหมอไม่อยู่ (หัวเราะ) เลยคิดได้ว่า แล้วที่กังวลมาทั้งหมดนี่ มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ทำให้ตอนนี้มองชีวิตว่าอย่าไปคิดมาก คิดมากไปมันไม่ช่วย อย่าไปกลัวสิ่งที่ยังไม่เกิดดีกว่าครับ



Heart &Sweet Part

ขึ้นต้นว่าเรื่องหัวใจ แน่นอนว่า เราต้องถามไถ่ถึงเรื่องความรัก ซึ่งแบ่งได้ทั้งความรักส่วนตัว และความรักต่อส่วนรวมที่ผสมปนเปในหัวใจของหนุ่มคนนี้

                ก็มีคนที่สนิทด้วยที่คบกันอยู่ (นางเอกสาวจากหนังเรื่องหนีตามกาลิเลโออย่าถามนะว่าคนไหน? :) แต่ว่ายังไม่อยากตอบหนักแน่นมากกว่านี้ เพราะว่าผมเป็นเด็กผู้ชายที่ไม่เหมือนกับเด็กผู้ชายคนอื่นทั่วไป ผมมีภาระเยอะ ต้องรับผิดชอบบริษัท 2 บริษัท, มหาวิทยาลัย 2 มหาวิทยาลัย, ดูแลคุณแม่ น้องชาย แล้วพนักงานอีก 200 คน เวลาที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งมีให้กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ก็ต้องหารสอง  กลับมาเมืองไทย วันอังคาร พฤหัสบดี เสาร์ นี่ ผมออกไปไหนไม่ได้ เพราะผมต้องอยู่กับคุณแม่ผม แถมปีนึงผมก็อยู่เมืองไทยแค่ 2 ครั้ง เลยไม่อยากให้เค้ามาลำบาก แต่ถ้ามีคนที่พร้อมจะลำบากไปกับผม ผมก็ยินดีที่จะดูแลเค้านะ ซึ่งกับคนที่คบอยู่ตอนนี้ เสน่ห์ของเค้าก็คือ รักครอบครัว ใจเย็น และเข้าใจเรา(ยิ้ม)

จบเรื่องความรักส่วนตัว มาสู่เรื่องความรักต่อส่วนรวม หนุ่มคนนี้ก็ได้เผยให้ฟังถึงความคิดและสิ่งที่เขาตั้งใจทำไว้ว่า
                ถ้าถามว่าจะเล่นการเมืองไหมนี่ ผมคิดว่าจะเล่นก็ต่อเมื่อสามารถช่วยเหลือประเทศได้มากกว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้ แต่ถ้าอยู่ภาคเอกชนแล้ว เราสามารถสร้างงานได้มากกว่า สร้าง GDPและสร้างมูลค่าเพิ่มให้ประเทศได้มากกว่าอยู่ภาคการเมือง ผมก็ขอเป็นเอกชนดีกว่า เพราะถ้าไปเป็นนักการเมืองที่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากกว่าการใส่สูทโก้ๆ ไปสภา แบบนั้นผมไม่เอา เพราะใจจริงแล้วผมสนใจเรื่องการพัฒนา มากกว่าเรื่องการเมืองนะ ผมสนใจเรื่องทำยังไงให้ความยากจนหมดไป ทำยังไงให้ความไม่เท่าเทียมกันหายไป

                “คือผมรู้สึกว่า ถ้าตัวเองต้องตายไป อยากให้คนอื่นจำเราในฐานะ Developer คือนักพัฒนา ผมคิดเสมอว่าเกิดมาเราก็ไม่มีอะไร ตายไปได้นุ่งกางเกงตัวเดียวก็กำไรแล้ว เลยไม่อยากเอาอะไรไป แต่อยากจะทิ้งความคิดหรือความรู้ไว้บนโลก ผมอยากเป็นเหมือนโรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีอเมริกา ที่ปฏิรูปอเมริกาได้, อยากเป็นเหมือนบ๊อบ มาร์เล่ย์ ที่ใช้ดนตรีในการสมานฉันท์ ทำให้ประเทศจาไมกาไม่แตกแยกกัน, อยากเป็นเหมือนมหาตมะ คานธี ที่ใช้สันติภาพในการสร้างอินเดียให้เป็นประเทศอย่างที่เป็นทุกวันนี้ ผมอยากเป็นอะไรที่ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่อย่างคนที่พูดมาก็ได้ แต่ว่าขอทำอะไรให้ความเป็นมนุษยชาติของโลกดีขึ้น ไม่ว่าจะโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะใช้ศาสตร์หรือใช้ศิลป์ก็ตาม


                เขาปิดท้ายประโยคด้วยคำตอบที่ไม่เพียงฟังดูเฉลียวฉลาด ทว่ายังเป็นคำตอบที่เปิดเผยให้เห็นหัวใจของคนพูดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย









MH Guy

3 สิ่งสำคัญในชีวิต
ครอบครัว, ครอบครัว, แล้วก็ครอบครัว

คนที่คุณชื่นชมบนโลกใบนี้
ชอบคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์, ประภาส ชลศรานนท์, บัณฑิต อึ้งรังษี, สุรชัย กิจเกษมสิน (เล็ก วงพราว),อองซาน ซูจี,ฟิเดล คาสโตร, Ajahn Brahm อดีตนักศึกษาจากมหาวิทยลัยเคมบริดจ์ ที่ค้นพบธรรมะแล้วบวชเป็นพระ ปัจจุบันพำนักอยู่ที่ออสเตรเลีย

อนาคตของเมืองไทยที่อยากเห็น
1)ความยากจนน้อยลง 2)ความเท่าเทียมมากขึ้น ไม่ใช่ว่า 10 %ของประชากรถือครอง 90 % ของความมั่งคั่งเอาไว้ คือมองว่า ไม่จำเป็นต้องเท่ากันเป๊ะ เพราะมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่อย่างน้อยอยากให้ลดลง ไม่อยากเห็นคนไม่มีอันจะกิน หรือว่าไม่อยากเห็นคนนอนหนาวตายในหน้าหนาว เรื่องนี้ผมงงมากว่ามันเป็นไปได้ยังไง? ในเมื่อเราบริจาคผ้าห่มกันทุกปี แล้วทำไมยังมีคนหนาวตายทุกปี แสดงว่ามันมีความเหลื่อมล้ำบางอย่าง

อนาคตเป้าหมายที่วางไว้
ภายใน 5 ปีนี้คือ 1)เรียนให้จบ 2)กลับมาดูแลแม่ 3)ทำบริษัทให้ดีขึ้นกว่านี้ ใหญ่กว่านี้ มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ แล้วก็มีความสุข ส่วนหลังจากนั้นก็คงกลับมาพัฒนาประเทศ แต่ว่ายังไม่ได้กำหนดสถานะว่าจะเป็นอะไร

ตัวตนของทิม
เป็นคนเรื่อยๆ ง่ายๆ อาจมีหลายมุมด้วยหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบ แต่เวลาเป็นนักเรียนนักศึกษา ผมจะเป็นตัวของตัวเราเอง ทว่าเราก็คงไม่เหมือนเด็กผู้ชายคนอื่นทั่วไปที่มีคุณพ่อ เพราะเราต้องมีความรับผิดชอบเยอะ ถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยนบุคลิก แต่ว่าในขณะเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะมีความรับผิดชอบสูง ต้องรับผิดชอบอะไรหลายๆ อย่างก็จริง แต่ก็ไม่อยากที่จะทิ้งความเป็นเด็กในตัวไป เพราะว่าการที่จะใช้ชีวิตตอนอายุเท่านี้ กับตอนที่อายุ 35 ปี มันไม่เหมือนกัน

ความเป็นเด็กที่ทิมยังคงรักษาไว้
ผมยังคงไปมาหาสู่กับเพื่อนฝูง ยังเล่นดนตรี ยังมีงานอดิเรก เพราะชีวิตคนเราไขน็อตแน่นมากเดี๋ยวมันพัง ให้มันมีหลวมๆ บ้างก็ได้ แล้วก็เที่ยวเยอะ เที่ยวต่างประเทศ เที่ยวต่างจังหวัด อาทิตย์ที่แล้วไปมา ภูเก็ต สิงห์บุรี อยุธยา กาญจนบุรี 4 ที่ใน 5 วัน กาญจนบุรีนี่เลยไทรโยคไป เกือบจะถึงพม่า ชอบมาก ผมชอบอยู่เงียบๆ ไม่ค่อยชอบอะไรวุ่นวายมาก 

[บทความสัมภาษณ์] สงกรานต์ เตชะณรงค์ in Men's Health 2009




[บทความสัมภาษณ์]



Men's Health Thailand
คอลัมน์ MH Guy
Issue : Oct 09
เรื่อง Tiktok / ภาพ บุญแผ้ว แดงแท้





สงกรานต์ เตชะณรงค์

                ถือเป็นหนุ่มที่กำลังมาแรงคนหนึ่งแห่งยุค ทั้งจากธุรกิจ อาณาจักรโบนันซ่า ณ เขาใหญ่ ที่เขากลับมาช่วยบริหาร และต่อเติมเสริมสร้างสิ่งใหม่ๆ เข้าไปหลายส่วน รวมไปถึง ความร้อนแรงจากการตกเป็นข่าวกับสาวสวยในวงการบันเทิงหลากหลายคน และในวันที่พระอาทิตย์ไม่สาดแสงร้อนแรงเท่าไหร่ Men’s Health ได้ยกกองไปที่เขาใหญ่ เพื่อพูดคุยกับหนุ่มที่เกิดวันที่ 13 เมษายน คนนี้ และนี่คือปากคำและเรื่องราวของ สงกรานต์ เตชะณรงค์ หนุ่มวัย 26 ปี ที่มีส่วนผสมของความเป็นลูกทุ่งและคนเมืองกรุงผสานกันไว้
                ...จนกลายมาเป็น หนึ่งในหนุ่มสุดฮอตของ พ.ศ. นี้... (บทสัมภาษณ์ตีพิมพ์ ตุลาคม 2552)



ธุรกิจที่มุ่งมั่น ณ อาณาจักรโบนันซ่า

                อากาศที่เขาใหญ่ค่อนข้างสดใส และหนุ่ม MH Guy ฉบับตุลาคม ก็เดินออกมาต้อนรับพวกเราด้วยรอยยิ้ม วันที่ Men’s Health ไปเยือนโบนันซ่า แม้จะมีลูกค้าเข้าพักที่รีสอร์ตแห่งนี้ค่อนข้างเยอะ แต่ซีอีโอหนุ่มอย่าง สงกรานต์ เตชะณรงค์ ก็ออกมาดูแลและตรวจงานตามจุดต่างๆ ในชุดเสื้อยืดลำลองสีดำและกางเกงขาสามส่วน แหม...ก็ในเมื่อที่นี่คือเขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แล้วจะให้หนุ่ม MH Guy ของเรา ใส่สูทผูกไทด์ออกตรวจตรางานท่ามกลางขุนเขาเขียวขจีก็คงไม่เข้าท่ามั้งครับ

 “ทางบ้านผมมีธุรกิจอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วยครับ แต่ผมจะดูแลที่นี่ที่เดียว ส่วนใหญ่จะดูเรื่องของที่พัก, โรงแรม, สถานที่สำหรับจัดคอนเสิร์ตและอีเวนท์ แล้วก็มีที่เราทำบ้านและคอนโดขายที่เขาใหญ่ด้วย นอกจากนี้ก็มีสนามกอล์ฟ ส่วนใหญ่ผมจะทำงานทุกวัน ยิ่งช่วงนี้ถือเป็นช่วงไฮซีซั่น ช่วงพีกของเขาใหญ่จะเป็นช่วงปลายตุลาคมไปจนถึงกุมภาพันธ์ เพราะที่นี่อากาศเย็น คนจะมาเที่ยวเยอะ

เนื่องจากมีคุณพ่อเป็นหนึ่งในราชาเขาใหญ่ อย่างคุณไพวงษ์ เตชะณรงค์ หลายคนคงคิดว่า เมื่อหนุ่มคนนี้กลับมาบริหารงานของครอบครัว คุณพ่อย่อมต้องลงมาช่วยสอนงานแน่ๆ แต่หนุ่ม MH Guy ของเราส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนตอบว่า

ตอนจบมาใหม่ๆ คนอื่นเค้าจะมีพ่อคอยช่วยประคอง คอยแนะนำใช่ไหมครับ แต่คุณพ่อผมท่านจะเป็นแบบ เฮ้ย! มึงจบแล้ว กูเหนื่อยแล้ว อ่ะ...มึงทำ (หัวเราะ) ประมาณนี้ เค้าจะปล่อยเลย จริงๆ มีอะไรก็โทรหาเค้าได้ แต่หลังๆ เราเริ่มประสบการณ์เยอะขึ้น ก็จะไม่ค่อยถามแล้ว เพราะเวลาปรึกษาทีไรก็จะทะเลาะกันทุกที (หัวเราะ) แต่ก็สนิทกันนะครับ เจอกันทุกอาทิตย์ พ่อมาที่นี่บ้าง ผมไปกรุงเทพฯ บ้าง แต่เค้าจะโทรมาทุกวัน โทรมาแหย่ๆ กวนๆ ตามสไตล์เค้า หนุ่มสงกรานต์ กล่าวยิ้มๆ

งานที่เขาทำเป็นงานบริการ ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับคนเป็นส่วนใหญ่ แน่นอนว่าปัญหาที่เจอย่อมหลีกหนีไม่พ้นไปจากเรื่องเหล่านี้ แล้วเมื่อพบเจอปัญหา ซีอีโอหนุ่มวัย 26 ปี จะมีวิธีรับมืออย่างไรบ้างนะ?

ก็ค่อยๆ คิดแหละครับ แต่ผมจะไม่ค่อยปรึกษาคุณพ่อนะครับ เพราะเค้าก็ยุ่งกับอะไรของเค้าที่กรุงเทพฯ มากพอแล้ว โทรไปมากๆ เดี๋ยวเค้ารำคาญ (หัวเราะ) ผมก็ลองผิดลองถูกไป แล้วพอดีมีพี่ที่เค้าเคยทำมาก่อนมาช่วยงานด้วย ซึ่งการทำงานบริการเราต้องเรียนรู้ที่จะใจเย็น เพราะ ลูกค้าคือพระเจ้า แล้วงานอย่างนี้มีรายละเอียดเยอะ เหมือนเราดูแลใครสักคนตั้งแต่เค้าเข้ามาพักกับเรานั่นแหละครับ





ซีอีโอผู้เสพติดการออกกำลัง

                ช่วงนี้หนุ่มสงกรานต์ไม่ค่อยได้เล่นกีฬาเลยครับ ไม่ใช่เพราะเขาเลิกรักชอบกับการออกกำลังเรียกเหงื่อแต่อย่างใด ทว่าเขาเพิ่งมีอาการเอ็นเข่าขวาขาด อันเกิดจากการเตะฟุตบอล ช่วงนี้เลยเป็นช่วงที่คุณหมอแนะนำให้เขาพัก กิจกรรมออกกำลังของเขาเลยเน้นไปที่การว่ายน้ำเป็นหลัก แต่หนุ่มคนนี้ก็ยอมรับว่า เขาชอบเล่นกีฬามาก และรอวันที่อาการจะดีขึ้น เพื่อจะได้กลับไปเตะฟุตบอลและตีกอล์ฟอีกรอบ

                ตอนนี้ขาเจ็บก็ว่ายน้ำอย่างเดียว ทว่าเมื่อก่อน ผมจะเตะฟุตบอลกับทีมทำงาน อะไรที่เป็นกีฬา ผมชอบหมด แต่ช่วงนี้ไม่ได้เล่น เลยเซ็งนิดหน่อย ส่วนขี่ม้านี่ผมขี่ตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะว่าเราอยู่ในไร่ตั้งแต่เด็ก เวลาอยู่ในไร่ ขี่ม้ามันสะดวกกว่า แต่ก่อนที่ตรงนี้ (เขาใหญ่) ไม่มีถนน ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอะไรเลยนะ คือต้องนั่งรถไถเข้ามา ต้องขี่ม้า เลยเรียนขี่ม้ามาตั้งแต่เด็กๆ

                ผมติดเล่นกีฬาหนักๆ ตั้งแต่ไปเรียนมหาวิทยาลัยที่นิวซีแลนด์ครับ นิวซีแลนด์ถือเป็นเมืองที่เค้าเน้นกีฬามากเลย สมัยอยู่นู่น เลิกเรียนปุ๊บ เค้าจะไปซ้อมกีฬากันแล้ว เรียกได้ว่าชาวนิวซีแลนด์เค้าใช้ชีวิตอีกสไตล์นึง ไม่เหมือนกรุงเทพฯ ทุกอย่าง 5 โมงเย็นก็ปิดแล้ว ผมเลยซึมซับเรื่องกีฬามา สมัยนั้น ผมเล่นกีฬาเกือบทุกวันเลย




บนสังเวียนแห่งการชกมวย

                ภาพที่เราคุ้นตากับหนุ่มสงกรานต์ คือภาพของนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ บวกกับภาพเซเลบริตี้หนุ่มขวัญใจสาวๆ แต่ขอบอกว่า ยังมีอีกภาพที่หลายๆ คนอาจไม่เคยรู้ว่าหนุ่มคนนี้เคยทำและเคยเป็น นั่นคือภาพนักมวยครับ

                ช่วงปีที่แล้ว ผมฝึกมวยทั้งปีเลยครับ ฝึกด้านหลังโบนันซ่านี่แหละ เพราะเป็นที่เก็บตัวทีมชาติ ที่ไปฝึกเนื่องจากสนใจ แล้วพอดีมีเพื่อนเป็นนักมวยชวนไปฝึก ผมฝึกทุกวันอยู่ปีนึง โดยก็ยังคงทำงานเป็นปกติ ช่วงฝึกนี่เค้าจะซ้อมหนักมาก 6-8 โมงเช้าจะต้องตื่นมาวิ่ง,วิดพื้น, และชกกระสอบทราย แต่ผมจะซ้อมแค่ช่วงเช้าช่วงเดียว ส่วนคนอื่นจะซ้อม 3-4 ช่วงใน 1 วัน ถือว่าเค้าแข็งแรงกันมาก แล้วผมเคยไปแข่งชิงแชมป์ประเทศไทยด้วยนะครับ รุ่นมิดเดิ้ลเวต น้ำหนัก 75 กิโลกรัม แต่ว่าตกรอบแรกเลย (หัวเราะ) ยกแรกก็โดนนับ 8 เลย

                “ที่ผมไม่ฝึกต่อ เพราะมันใช้เวลาเยอะมาก ฝึกไปก็ไม่รู้จะแข่งกับใคร เพราะว่าคนอื่นเค้าฝึกมาเป็นสิบๆ ปี เค้ามืออาชีพกันหมดแล้ว ชกมวยนี่ต้องฟิตจริงๆ จำได้ว่าวันแรกที่ผมไปซ้อมนี่ ผมอ้วกทันที มันเหนื่อยมาก ตอนนั้นผมมีกล้ามท้อง 8 ลูกเลย ซึ่งได้มาจากมวยนี่แหละครับ มวยนี่ถือว่าเหนื่อยสุดๆ แล้วตั้งแต่เคยเล่นมา




ท.ทหาร อดทน
ถ้าเรื่องชกมวย ทำให้คุณประหลาดใจแล้ว หนุ่มคนนี้ยังมีเรื่องให้เราประหลาดใจได้อีก เมื่อได้รู้ว่าในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ เค้าเคยสมัครเป็นทหาร 6 เดือน

คุณพ่อให้ไปสมัครครับ คงเพราะท่านชอบทหารมั้ง เหมือนคุณพ่อทั่วไปที่อยากเห็นลูกใส่ชุดทหารแหละ อีกอย่างผมไม่ได้เรียน ร.ด. มา เลยไปขอสมัครเป็นทหาร ฝึกอยู่ 6 เดือน ถือว่าได้เรียนรู้เยอะเลย ทั้งเรื่องระเบียบวินัย เพราะทหารจะเน้นเรื่องนี้มาก ตื่นเช้ามาออกกำลังกาย เคารพธงชาติ รวมแถว แล้วก็จะมีเรียนหนังสือด้วย อีกครึ่งวันฝึกเน้นใช้แรง ถือว่าได้เรียนรู้อะไรเยอะดี





นิวซีแลนด์เปลี่ยนชีวิต

                หลายคนอาจเคยทราบว่า หนุ่มคนนี้เรียนจบด้านไฟแนนซ์มาจากนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นที่ที่เค้าถือว่าเปลี่ยนเส้นทางชีวิตเลยทีเดียว

                ผมได้อะไรจากการไปเรียนนิวซีแลนด์เยอะครับ ที่แน่ๆ คือใบปริญญา เพราะถ้าอยู่เมืองไทยคงเรียนไม่จบ อยู่ที่นู่นมันมีเวลาให้ตั้งใจเรียน แล้วไม่ค่อยมีสิ่งยั่วยุ หรือแสงสี เมืองที่ผมไปเป็นเมืองมหาวิทยาลัย คนที่ไปอยู่เมืองนั้นส่วนมากจะไปเรียน ซึ่งผมชอบนะ แรกๆ อาจเหงา แต่พอเริ่มปรับตัวได้นี่ก็โอเค เมืองมันสงบดี ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่ดีอันนึงของชีวิต เพราะแต่ก่อนเราอยู่เมืองไทย ผมเกเรเลย พอไปอยู่ที่นู่นมันได้เปลี่ยนตัวเอง





บ้านของผม

                ครอบครัวของหนุ่มคนนี้อยู่กรุงเทพฯ แต่หนุ่มสงกรานต์ปักหลักทำงานที่โบนันซ่า และเขาดูมีความสุขกับการได้ทำงานท่ามกลางขุนเขาที่นี่มากๆ จนเราอดถามไม่ได้ว่า ที่ไหนที่เขารู้สึกว่าเป็น บ้าน กันแน่?

                ชอบที่นี่ครับ เพราะผมอยู่อย่างนี้มานานแล้ว อยู่นิวซีแลนด์ก็เป็นป่าๆ อย่างนี้ ผมสังเกตว่าคนที่ไปเรียนนิวซีแลนด์ ส่วนมากกลับมาแล้วจะสันโดษนะ ซึ่งตอนนี้ผมคงปักหลักอยู่ที่เขาใหญ่นี่แหละ เพราะว่าผมไม่ชอบรถติด เวลาพูดถึง บ้าน ผมจะคิดถึงที่นี่ กรุงเทพฯ ก็คงต้องเข้าไปบ้าง ไปเปิดหูเปิดตา เจอเพื่อน คนเราจะทำแต่งานอย่างเดียวมันก็คงไม่ใช่การใช้ชีวิตที่ถูกต้องเท่าไหร่นัก ยังไงก็ต้องมีเฮฮาบ้าง




ความรักของหนุ่มสงกรานต์

ดูท่าเขาจะหลงเสน่ห์ความเงียบสงบของเขาใหญ่ ไม่น้อย แต่อยากรู้จังเลยว่า ผู้หญิงแบบไหนที่เขาจะหลงเสน่ห์กันนะ จะใช่หนึ่งในสาวๆ ที่เขากำลังมีข่าวอยู่หรือเปล่า?

ผมชอบผู้หญิงที่ดูไทยๆ เลยครับ หน้าตาไทยๆ นิสัยไทยๆ เขาตอบยิ้มๆ ก่อนจะหัวเราะนิดนึงเมื่อเราถามต่อว่าคิดอย่างไรกับลูกครึ่งแขก

ลูกครึ่งแขกก็สวยดีครับ ส่วนผู้หญิงเก่งผมก็ชื่นชม (ยิ้ม) แต่จริงๆ ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้คิดเรื่องนี้เท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะโฟกัสเรื่องงาน เพราะเราอยู่ในช่วงที่กำลังสร้างตัว พยายามทำตามเป้าหมายเรื่องงานที่เราคิดไว้

จริงๆ ยิ่งโตขึ้น ผมว่ามุมมองความรักของคนเรายิ่งเปลี่ยนไปนะ ตอนเด็กๆ เราจะดูแค่ภายนอก แต่พอโตขึ้น มุมมองจะเปลี่ยน อาจฟังดูน้ำเน่า แต่มันต้องดูนิสัยด้วยครับ ผมจะเน้นว่าคุยกันเข้าใจไหม เข้ากันได้หรือเปล่า นึกออกไหมครับว่า ผมเป็นคนที่ทำงานอยู่ตรงนี้ นานๆ ทีจะขึ้นไปกรุงเทพฯ ผมเคยมีแฟน แล้วเค้าไม่ชอบที่ผมต้องอยู่ตรงนี้ (เขาใหญ่) แต่จริงๆ ผมไม่ซีเรียสว่าฝ่ายหญิงต้องมาอยู่ที่นี่กับผมนะครับ



อนาคตของซีอีโอแห่งขุนเขา

อาจเพราะความที่ทำงานท่ามกลางขุนเขามาสักพักแล้ว พอถามถึงอนาคตเบื้องหน้า หนุ่มคนนี้เลยตอบกลับมาว่า เขาก็มีฝันอยากจะสลับไปทำธุรกิจที่ทะเลบ้าง...ซึ่งคงสนุกดี

อยากไปทำธุรกิจที่ทะเลบ้าง มันคือความฝัน ขอเป็นริมทะเลที่สงบหน่อย และคงเปิดเป็นธุรกิจบริการ เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือร้านอาหาร ส่วนตอนนี้ ถ้ามีเวลาว่างยาวๆ สักอาทิตย์นึง ผมอยากไปเที่ยวทะเลมากเลยครับ

เขาจบคำตอบสุดท้าย พร้อมกับแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ เลือนหายไปท่ามกลางขุนเขา หลังจากใช้เวลาพูดคุยและถ่ายภาพเขาอยู่เกือบค่อนวัน ก็ถึงเวลาที่เราต้องเอ่ยคำอำลาเสียที และขณะที่รถของทีมงานกำลังเลี้ยวเพื่อเข้าสู่ถนนสายหลักที่มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ จากกระจกหลังรถ เรามองเห็นซีอีโอหนุ่มที่มีข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์บันเทิงกรุงเทพฯ บ่อยๆ คนนี้ กำลังเดินเข้าไปทักทายกับพนักงาน และลูกค้าที่จัดงานธีมงานวัด บนลานหญ้ากว้างไกลอยู่ ขอบอกว่าเขาดูกลมกลืนกับภาพและผู้คนเหล่านั้นมากๆ เลยล่ะครับ

บางที กรุงเทพฯ อาจเป็นศูนย์กลางของหลายๆ สิ่ง ... แต่อาจไม่ใช่ศูนย์กลางชีวิตของทุกผู้คนก็ได้นะ












MH Guy
ตัวตนของสงกรานต์
ง่ายๆ สบายๆ ไม่ค่อยเรื่องมากเท่าไหร่

ชื่อเล่นของสงกรานต์
ก็สงกรานต์นั่นแหละครับ (หัวเราะ)

สไตล์บ้านของสงกรานต์
หลังที่พักอยู่ที่เขาใหญ่เป็นบ้านแบบคันทรี่ครับ

รอยสักของสงกรานต์
มีทั้งหมด 3 ที่ สักตอนเรียนมัธยมต้น แต่เป็นแค่ลายกราฟิกธรรมดาครับ ไม่ได้มีความหมายอะไร และคงไม่ไปสักเพิ่มแล้ว เพราะเป็นคนกลัวเข็ม ส่วนเรื่องจะลบหรือไม่นั้น อาจจะไม่ครับ เพราะเค้าว่ากันว่า ลบมันเจ็บกว่าสัก 10 เท่าเลย

3 สิ่งสำคัญในชีวิต
เป็นสิ่งรอบตัว ก็คือครอบครัว เพื่อนฝูง และงาน

บุคคลต้นแบบ
ถือว่าไม่มีนะครับ แต่อาจศึกษาจากนักธุรกิจอื่นๆ ที่เก่งๆ ก็นำมาปรับใช้กับชีวิตตัวเองบ้าง

สงกรานต์ กับเคล็ดลับในการขี่ม้า
1)ขี่ม้านี่ห้ามไปกลัวมันครับ ถ้าเรากลัว ม้าจะรู้ ไม่แน่ใจว่าเซนส์ของมันหรือเปล่า ซึ่งถ้ามันรู้แล้วมันจะแกล้งเรา จะทำให้เราตกใจ เราต้องอย่าไปกลัวมันเป็นอันดับแรก
2)เราต้องมีบังเหียน ให้มันรู้ว่า เราเป็นเจ้านายมัน ทั้งนี้เราใช้บังเหียนเป็นตัวสื่อสารกับม้า ว่าเรากำลังควบคุมมันอยู่
3)อย่าพยายามพาม้าไปใกล้คอก เพราะม้าอาจวิ่งเตลิดเข้าคอกไปเลย เหมือนคนที่เห็นบ้านแล้วอยากวิ่งเข้าหานั่นแหละครับ ผมเคยตกม้าครั้งนึง เพราะกะว่าจะบังคับม้าไปอีกทาง แต่พอวิ่งผ่านคอกม้า มันเลี้ยวไปอีกทางนึง ทำให้เราตกลงมาเลย