Sunday, September 02, 2012

[บทความส่วนตัว] : รีวิวหนังสือ: เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด



รีวิวหนังสือ: เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด



เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด 

         
      ช่วงงานสัปดาห์หนังสือเมื่อต้นเดือนเมษายนที่เพิ่งผ่านมา บูธอมรินทร์มีหนังสือแปลจากเกาหลีเล่มหนึ่งวางขาย ปกหนังสือเล่มนี้เป็นสีส้มเปล่งประกายสะดุดสายตา แถมยังมีชื่อดึงดูดใจให้หยิบพลิกดู เล่มที่ว่าคือ เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด เขียนโดย คิมรันโด อาจารย์มหาวิทยาลัยโซล คุณพ่อของลูกชายวัย 20 ปีและลูกชายซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น หนังสือเล่มนี้สร้างปรากฏการณ์ขายได้มากกว่า1 ล้านเล่มภายใน 8 เดือน ถือเป็นหนังสือขายดีอันดับหนึ่งของเกาหลีใต้ตั้งแต่ช่วงแรกที่วางแผง (กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554) ไปจนถึงช่วงกรกฎาคมปีเดียวกัน* ทั้งยังเป็นที่กล่าวขวัญถึงจากคนทั่วทั้งเกาหลี เซเลบริตี้ชื่อดังของประเทศอย่างคิมแจจุง วง JYJ ยังเคยนำมาทวีตแนะนำให้แฟนคลับซื้อหามาอ่านด้วย    

         
ในเมืองไทย หนังสือเล่มนี้ถูกจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สปริงบุ๊กส์ ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์น้องใหม่ในเครืออมรินทร์ ข้างหลังเล่มเขียนประเภทหมวดหมู่หนังสือไว้ว่าอยู่ใน “หมวดจิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง” ซึ่งชวนให้เข้าใจผิดได้ง่ายว่าหนังสือที่อาจารย์คิมรันโดเขียนขึ้นนี้ เป็นหนังสือแนว “ฮาวทู” ทว่าหนังสือปกสีส้มสดใสเล่มนี้ ช่างคิด กินใจ และลึกซึ้งกว่านั้น เพราะเป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นจากปลายปากกาของคนในช่วงวัยปลาย 40 ผู้ผ่านโลกมาระยะหนึ่ง ทั้งผู้เขียนยังเป็นคุณพ่อของลูกชายวัยรุ่น เป็นอาจารย์ของคนหนุ่มสาวจำนวนมาก เชื่อว่าเนื้อหาอันชวนกระตุกต่อมคิดและแสนเข้าใจโลกยุคใหม่ภายในเล่ม ถูกตั้งใจเขียนขึ้นเพื่อลูกชายและลูกศิษย์ที่อยู่รายรอบชีวิตนั่นเอง  

              
ว่ากันตามตรงแล้ว ในแผงหนังสือบ้านเรานั้น มีหนังสือในเชิงเตือนใจและให้ข้อคิดออกมามากมาย (โดยเฉพาะแก่คนหนุ่มสาวผู้สับสนและเจ็บปวด) แล้วอะไรที่ทำให้ เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด ของคิมรันโด น่าประทับใจและแตกต่างจากเล่มอื่น คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้คือ เพราะหนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยความเอื้ออารี ให้ความหวัง แต่ก็ยังเข้าใจโลก ตัวหนังสือของอาจารย์คิมเรียบง่าย ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ไม่ต้องปีนบันไดตีความหลายชั้น ทั้งยังไม่พยายามจะ “แนว” จะ “เก๋” จะ “เท่” ไปจนถึง “เท่มาก” แบบที่หนังสือสมัยใหม่บางเล่มนิยมเป็น ทุกตัวอักษรของอาจารย์คิมสะท้อนความรักความเมตตา ขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นถึงความช่างอ่าน ช่างคิด ช่างใฝ่รู้ของท่านด้วย สังเกตจากการยกตัวอย่างข้อคิดเตือนใจที่ท่านหยิบยกมาจากหนังบ้าง จากหนังสือบ้าง จากบทสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์บ้าง จากศิลปะบ้าง จากดนตรีบ้าง แม้กระทั่งเรื่องที่ศิลปินชื่อดังของเกาหลีใต้ฟ้องร้องต้นสังกัดด้วยกรณี สัญญาทาส อาจารย์คิมก็ยังทราบและหยิบมาเขียนเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยถึง ซึ่งนั่นสะท้อนถึงความช่างสังเกตปรากฏการณ์ในสังคมเกาหลีใต้และโลกรอบตัวของ ท่านได้เป็นอย่างดี    

        
แม้จะไม่ “แนว” แต่หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ “เชย” เรียกได้ว่าห่างไกลจากความล้าสมัยไปหลายล้านขุม เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด เป็นเหมือนจดหมายที่เขียนถึงวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวด้วยความรัก เป็นจดหมายที่เต็มไปด้วยความจริงใจและอบอุ่น ตัวหนังสือของคิมรันโดได้ถักทอข้อคิดดีๆ และเรียงร้อยสิ่งที่วัยรุ่นและคนหนุ่มสาวควรรู้ออกมา ไม่ใช่สิ …ไม่ใช่สิ่งที่วัยรุ่นและคนหนุ่มสาวควรรู้เท่านั้น หลายเรื่องเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรรู้ด้วยซ้ำ 

            
หนังสือแบ่งออกเป็น 4 พาร์ท 42 บท (ไม่รวมถึงบทส่งท้าย ซึ่งเขียนถึงลูกชายที่รักของพ่อ) แค่บทแรก อาจารย์คิมก็ปล่อยหมัดฮุกตั้งคำถามให้เราฉุกคิดว่า “นาฬิกาชีวิต: ตอนนี้ชีวิตของคุณกี่โมงแล้ว” โดยท่านถามว่า หากเปรียบชีวิตเหมือนนาฬิกาในหนึ่งวัน ตั้งค่าให้อายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 80 ปี ขณะนี้ชีวิตเรากี่โมงแล้ว ซึ่งคำตอบที่ได้เป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนประหลาดใจ เพราะชีวิตที่เราคิดว่าดำเนินมานานแสนนานแล้วนั้น อาจอยู่ในช่วงเช้าตรู่ของวันก็เป็นได้ เพราะหากคุณอายุ 20 ปี นาฬิกาชีวิตของคุณจะตรงกับเวลา 6 โมงเช้า ชีวิตเพิ่งเริ่มต้น …หากอายุ 30 ปี นาฬิกาชีวิตจะตรงกับ 9 โมงเช้า อันถือเป็นเวลาเริ่มงานของหลายคน …หากอายุ 35 ปี นาฬิกาชีวิตจะอยู่ที่ 10 โมงครึ่ง ซึ่งถือเป็นยามสายที่ร่างกายพร้อมทำอะไรหลายอย่างแล้ว …และหากอายุ 40 ปี นาฬิกาชีวิตจะตรงกับตอนเที่ยง พระอาทิตย์ยังคงร้อนแรงและเหลือเวลาอีกมากมายกว่าจะหมดวัน …เห็นไหมว่าชีวิตไม่ได้ดำเนินมายาวไกลจนเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เสียหน่อย          

   
ในบทที่ 3 คิมโดรันพูดถึงเรื่อง “ฤดูกาลที่ตัวคุณผลิบาน” โดยเล่าถึงดอกไม้แต่ละชนิดซึ่งผลิบานในฤดูกาลของมันเอง ดอกบ๊วย ดอกซากุระ ดอกกุหลาบ ดอกทานตะวัน ดอกเบญจมาศ ดอกคามิลเลีย ดอกไม้เหล่านี้ล้วนผลิบานอย่างงดงามในช่วงเดือนที่แตกต่างกัน ดอกไม้ต่างมีช่วงเวลาเปล่งประกายเป็นของตัวเอง เช่นกันกับคนเรา เขายังยกตัวอย่างคิมแดจุง อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งถูกจำคุกในวัยที่อายุยังน้อยด้วยเหตุผลความขัดแย้งทางการเมือง เรียกได้ว่าดอกไม้ของท่านไม่ได้ผลิบานในช่วงวัยเยาว์ แต่ในที่สุดท่านก็ได้เป็นประธานาธิบดี และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพขณะอายุ 75 ปี              

   “คุณกำลังท้อแท้อยู่ใช่ไหม ขณะที่เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันเริ่มทยอยประสบความสำเร็จ มีเพียงคุณเท่านั้นที่ยังดูเลื่อนลอยอยู่ใช่ไหม ถ้าคุณกำลังคิดแบบนี้ อย่าลืมเรื่องที่ผมเพิ่งบอกไป ดอกไม้แต่ละชนิดผลิบานในฤดูกาลของมันเอง ตอนนี้อาจยังไม่ถึงช่วงเวลาของคุณ อาจสายไปหน่อยเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่ถ้าฤดูกาลนั้นมาถึง คุณจะงดงามไม่แพ้ดอกไม้ชนิดอื่น ดังนั้นในช่วงเวลาที่ต้องรอคอย จงเตรียมตัวให้พร้อม” คิมรันโดเขียนไว้ในย่อหน้าสุดท้ายของบทที่ 3 หลายคนหลงรัก (หนังสือ) เขาก็จากบทนี้               


บทที่ 21 ก็เป็นอีกบทที่น่าประทับใจ บทนี้มีชื่อยาวเหยียดว่า “การเลิกล้มภายในสามวันเป็นเรื่องปกติ เพราะรูปแบบของชีวิตไม่ใช่การตัดสินใจที่แน่วแน่ แต่เป็นการฝึกหัด” ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการล้มเลิกความตั้งใจกลางคันทั้งที่เริ่มต้นอย่าง มุ่งมั่น อาจารย์คิมชี้แนะว่า ทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เด็กหรือคนชรา ร่ำรวยหรือยากจน หรือแม้กระทั่งคนที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุด ต่างก็สามารถล้มเลิกสิ่งที่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ได้ภายใน 3 วันเหมือนกันหมด เหตุเพราะมักติดกับดักพฤติกรรมเคยชิน หากต้องการปรับปรุงพฤติกรรมเคยชิน ต้องฝึกทำสิ่งนั้นซ้ำๆ อย่างน้อยที่สุดหนึ่งเดือน ไม่ใช่ภายใน 3 วัน แต่ต้องทำซ้ำๆ ตลอด 30 วัน คาถาสำคัญที่อาจารย์ขวัญใจนักศึกษาเกาหลีใต้ได้ให้ไว้ในบทนี้คือ ไม่ต้องรอพรุ่งนี้ แต่ต้องลงมือทำในวันนี้ทีละเล็กทีละน้อย


 อีกบทที่ไม่อยากให้พลาดก็คือ บทที่ 40 เรื่อง “จงขึ้นรถไฟชีวิตสักครั้ง” โดยอาจารย์คิมเขียนแนะนำนักศึกษาที่กำลังจะก้าวไปสู่โลกแห่งการทำงานว่า บริษัทต่างๆ อยากได้คนที่ทำงานเป็นจริงๆ ไม่ใช่คนที่มีลิสต์ความสามารถในใบสมัครงานยาวเป็นหางว่าวแต่ชีวิตนี้ไม่เคย ทำงานจริงจังเสียที ดังนั้นอย่ามัวแต่ลังเล จงขึ้นรถไฟชีวิตเพื่อเริ่มต้นเดินทาง เพราะงานแรกไม่ใช่ตัวตัดสินความสำเร็จของชีวิต              
       ”ความจริงแล้วงานที่สำคัญที่สุดในชีวิตไม่ใช่งานแรก แต่เป็นงานสุดท้าย อย่ารีบร้อนตัดสินผลแพ้ชนะจากการประลองครั้งแรก การแข่งขันต้องดูนานๆ ถึงจะรู้ว่าท้ายที่สุดใครเป็นผู้ชนะ …สิ่งสำคัญไม่ใช่จะออกเดินทางแบบไหน แต่จะก้าวออกเดินทางในชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร”



 เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด เป็นหนังสือที่โด่งดังและมีอิทธิพลต่อนักศึกษาเกาหลีในปีที่แล้ว (พ.ศ.2554) เป็นอย่างมาก เหตุผลที่ตัวอักษรของคิมรันโดสามารถสร้างกระแสต่อสังคมได้ในวงกว้าง เพราะสังคมเกาหลีใต้นั้นเต็มไปด้วยการแข่งขัน เด็กแทบทุกคนครอบครองเป้าหมายเดียวกันคือหักโหมกวดวิชาเพื่อสอบเข้า มหาวิทยาลัยดีๆ ให้ได้ โดยคิดว่านั่นคือความสำเร็จอันจะนำมาซึ่งความสุข แต่อาจารย์คิมผู้ซึ่งผ่านโลกมาใกล้วัย 50 ปีรู้ดีว่า นั่นคือเป้าหมายที่มีข้อบกพร่อง ความสำเร็จกับความสุขอาจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เขาจึงลุกมาเขียนหนังสือเพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่เขาเคยประสบและเรียนรู้ เพื่อแบ่งปันความจริงและความเจ็บปวดในชีวิตนั่นเอง 
            
เพราะความเจ็บปวดเป็นของคนทุกวัย ไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาว จะสวยธรรมชาติหรือหล่อด้วยกลูต้า จะเป็นพนักงานออฟฟิศผู้สับสนหรือเป็นเซเลบทวิตเตอร์ จะเป็นคนขายก๋วยเตี๋ยวในตลาดเล็กๆ หรือเป็นผู้กุมนโยบายสำคัญของประเทศ จะเป็นผู้ชนะรางวัลเพลงแกรมมี่อะวอร์ดส์หรือผู้ถูกฉกชิงของรัก …ทุกคนล้วนเคยครอบครองความเจ็บปวดด้วยกันทั้งนั้น 
            
หนังสือเล่มนี้จึงไม่เพียงเหมาะกับวัยรุ่น หากแต่ยังเหมาะกับทุกคน ทุกคนที่อยากแสวงหาแรงบันดาลใจเล็กๆ ที่อบอุ่นและแสนอารี





 ข้อมูลหนังสือ: เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด เขียนโดย คิมรันโด แปลโดย วิทิยา จันทร์พันธ์ ราคา 199 บาท สำนักพิมพ์สปริงบุ๊กส์ มีนาคม พ.ศ.2555

No comments: