Tuesday, September 04, 2012

[People] หญิงสาวชื่อออม - ผู้คนที่อยากใ้ห้คุณรู้จัก








ฉันคิดว่าฉันรู้จักน้องออมในตอนที่ตัวเองเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วนะ

ตอนนั้นฉันเพิ่งเรียนจบหมาดๆ ได้งานทำในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บุคคลในองค์กรหนึ่งย่านสาธร เป็นงานที่ไม่เลวในสายตาของหลายคน เพราะองค์กรที่ทำตอนนั้นมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเข้ายากสุดๆ แห่งหนึ่ง (จริงๆ มันเป็นมายาคติน่ะ)

ฉันทำงานแล้วก็รู้สึกเบื่อๆ เลยลงเรียนเขียนบทและการแสดงกับพี่ที่เคยช่วยทำละครเวทีกันมาก่อน ในคลาสเรียนทุกวันเสาร์อาทิตย์นี่เองที่ฉันได้เจอน้องออม นิสิตสาวที่อยู่ๆ ก็ถามฉันว่า พี่ที่เคยทำละครเวที Hamburger Mob รึเปล่าคะ? จากนั้นเราก็คุยอะไรกันอีกเล็กน้อย ต่อมาภายหลังฉันก็พบว่าน้องออมสนิทสนมกับเพื่อนสนิทของฉันเป็นอย่างยิ่ง นาเดีย-เพื่อนสนิทคนนี้เองที่เชื่อมโยงให้ฉันกับน้องออมได้เจอและพูดคุยกันบ่อยๆ

จากนั้นฉันก็เปลี่ยนงาน หันมาเริ่มต้นอาชีพคนทำนิตยสาร ช่วงนั้นวุ่นๆ กับอะไรจิปาถะ จนทำให้ไม่ค่อยได้เจอน้องออมสักเท่าไหร่ แต่แปลกตรงที่ถ้าบังเอิญเจอกันตามห้าง (ซึ่งนานๆ จะเจอครั้ง) เรามักจะชวนกันไปจิบกาแฟ พูดคุยในหัวข้อที่สาวโสดไฟแรง (และไร้เดียงสาต่อโลก) มักจะคุยกัน เราคุยกันเรื่องเส้นทางอาชีพ ปรัชญาความรัก ความสัมพันธ์ของคนรอบข้างที่เราได้เรียนรู้ นักเขียนที่เราชื่นชอบ ถึงจะบังเอิญเจอกันไม่กี่ครั้งในรอบปี แต่แปลกที่เรามักจะคุยกันยาวและต่อกันติดเสมอ

จากนั้นฉันก็ทำนิตยสารมาเรื่อยๆ ขณะที่น้องออมก็เปลี่ยนจากการทำงานในวงการละครเวที ไปสู่วงการเพลงไทย น้องออมเป็นคนน่ารัก มีทักษะด้านการรวมคนได้อย่างยอดเยี่ยม ตอนนั้นออมได้เข้าไปดูแลวงดนตรีลาววงหนึ่งที่กำลังดังในไทย ค่ายเพลงที่ลาวเห็นแววว่าออมมีความสามารถด้านการจัดการ จึงชวนออมไปทำงานด้วยที่เวียงจันทร์ ที่นั่นออมถือเป็นเจ้าแม่ในวงการดนตรีสมัยใหม่ของลาวก็ว่าได้ ช่วงนั้นฉันมักจะแซวน้องออมบ่อยๆ ว่าเป็น พี่ฉอดแห่งวงการเพลงลาวไปเสียแล้ว อิทธิพลของออมในตอนนั้นประมาณนั้นเลยแหละ

ต่อมาออมก็กลับมาอยู่เมืองไทย มาทำประสานงานให้ค่ายเพลงสักค่าย ก่อนจะกลับไปช่วยที่บ้านที่เชียงรายดูแลสวนส้ม และธุรกิจทางเหนือ ขอบอกว่าโปรไฟล์ทางบ้านของออมไม่ใช่ธรรมดา ออมเป็นคนที่ถ้าอยากจะไปเรียนต่อโทและเอกที่เมืองนอกก็ทำได้ไม่ยากเลย แต่ออมก็เลือกจะทำงานและทำสิ่งที่คิดว่าตนเองรักอยู่ที่เมืองไทย ... เป็นสิ่งที่ตอนนั้น คนซึ่งอยากไปเรียนต่อเมืองนอกเมืองนาอย่างฉันยอมรับว่าไม่เข้าใจวิธีคิดของออมเลย

จากนั้นเราก็ห่างๆ กันไป นานๆ จะเจอกันครั้งหนึ่ง จนฉันย้ายกลับมาอยู่บ้านนอก และออมย้ายจากเชียงรายกลับมาอยู่กรุงเทพฯ อีกหน ออมบอกว่าอยากเปิดโรงเรียนอนุบาล ... นี่ไม่ใช่ความฝันเพ้อเจ้อแต่อย่างใด เพราะออมเรียนจบครุศาสตร์ ปฐมวัย มาเชียวนะ ออมน่ะรับมือกับเด็กๆ ได้สบายมาก แถมเธอยังมีปณิธานแรงกล้าว่าอยากทำงานสายนี้เพราะเป็นการปูรากฐานให้กับชีวิตคนคนหนึ่ง ตอนนั้นฉันเอาใจช่วยออมอยู่ห่างๆ จนต่อมารู้ว่า โครงการเปิดโรงเรียนของออมหยุดชะงัก เพราะเพื่อนร่วมคิดเปลี่ยนใจไปทำงานประจำในองค์กรใหญ่ ชีวิตสาวออฟฟิศเปี่ยมสีสันดึงดูดใจเพื่อนมากกว่า ออมเล่าให้ฟังในวันหนึ่ง

ฉันกลับไปเจอออมอีกทีในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา การลงกรุงเทพฯ หนนั้น ฉันนัดหมายว่าจะคุยเรื่องจิปาถะกับออมเช่นเคย แต่เพียงไม่กี่วันก่อนฉันจะไปเจอออม ฉันได้มีโอกาสสัมภาษณ์พี่โรส แห่งเรนโบว์ รูม ซึ่งเป็นศูนย์สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับเด็กที่มีภาวะความต้องการพิเศษ ฉันประทับใจพี่โรสมานานแล้ว เฝ้ารอโอกาสที่จะได้สัมภาษณ์พี่โรสมาตลอด พอสบช่อง นิตยสารเขาไฟเขียวให้พูดคุยกับพี่โรสได้ ฉันก็ลุยเลย เป็นการพูดคุยที่ฉันประทับใจและยังจดจำมาจนถึงทุกวันนี้

แล้วถัดมาอีก 3-4 วันฉันก็นัดจิบกาแฟกับน้องออม เราคุยกันหลากหลายประเด็นมาก ตั้งแต่เรื่องน้ำท่วมเมื่อปีกลาย เส้นทางชีวิตที่กำลังก้าวเดินไปในวัย 30 ความฝันใฝ่ที่เราอยากทำให้เป็นจริง จนสักพักเราก็คุยกันเรื่องโรงเรียนอนุบาล และเด็กๆ แล้วอยู่ๆ ฉันก็เล่าเรื่องที่เพิ่งไปคุยกับพี่โรสแห่งเรนโบว์ รูม ให้ออมฟัง ออมก็เล่าถึงพี่เกี้ยว พงษ์ไพบูลย์ (ลูกสาวคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์) ซึ่งออมได้รู้จักจากการทำงานละครเวทีให้ฟังว่า พี่เกี้ยว ก็เคยเล่าถึงเรนโบว์ รูม ไว้ แล้วในตอนนั้น เรานั่งคุยกันอยู่ย่านอารีย์ ซึ่งมีร้านหนังสือของพี่เกี้ยวอยู่แถวนั้น พอพี่เกี้ยวเดินผ่านมา เราเลยเดินเข้าไปสวัสดี พอคุยกันถึงเรื่องเรนโบว์รูม พี่เกี้ยวก็บอกว่าสนิทสนมกับพี่โรส เห็นว่าพี่โรสต้องการคนมาช่วยทำงานอีก 1 คน ซึ่งด้วยความพอเหมาะพอเจาะทั้งหมด ทั้งออมชอบทำงานกับเด็ก ออมเก่งด้านประสานงานกับบุคคล ออมจบปฐมวัยมา พี่เกี้ยวจึงโทรแนะนำออมให้พี่โรสรู้จัก โดยใช้ประโยคว่า ฉันมีนางฟ้ามาให้เธอ

วันรุ่งขึ้น ฉัน ออม นาเดีย (อดีตคนในวงการละครเวทีที่ผันตัวมาทำงานพีอาร์) และน้องฝ้าย (รุ่นน้องของออมที่ครุศาสตร์) ก็แวะไปเรนโบว์รูม พี่โรสกับออมคุยกันได้เข้าขามากๆ ฉันคิดว่าพี่โรสมองออกว่าออมเหมาะกับการทำงานที่นี่ ในการพบกันหนนั้น พี่โรสเชื้อเชิญออมให้ลองมาทำงานด้วยกันดูสัก 1 สัปดาห์ ลองดูว่าสุดท้ายออมจะชอบจริงไหม หลังการเชื้อเชิญหนนั้นฉันไม่ได้ตามข่าวออมอีกเลย เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องกลับต่างจังหวัดและจัดการเรื่องส่วนตัว พอรู้ตัวอีกทีก็ต้นเดือนกรกฎคมแล้ว เดือนนั้นนั่นเองที่ฉันคิดถึงออม จึงส่งข้อความไปถามไถ่

ออมเล่าว่า ตอนนี้ออมได้เข้าไปทำงานในตำแหน่ง Communication Manager ที่เดอะเรนโบว์รูมแล้ว ออมมีความสุขกับงานมาก จริงๆ ด้วยศักยภาพของออม ออมสามารถก้าวไปทำงานในองค์กรใหญ่โต เม็ดเงินสูงได้ แต่ออมเลือกจะไม่ทำ ออมค้นพบว่าตัวเองอยากทำงานกับเด็ก และในอนาคตก็คงเปิดโรงเรียนอนุบาลให้จงได้ เป็นความฝันที่ฉันยังคงเอาใจช่วยออมเสมอ ออมทำได้แน่ๆ ... ในสักวันหนึ่งอันใกล้นี้แหละ

ตอนที่ฉันเจอออม เราทั้งคู่ต่างยังคงมีด้านที่ไร้เดียงสาต่อโลก ตอนนี้ฉันพูดไม่ได้เต็มปากว่าเรายังคงเป็นผู้หญิงในวันก่อนไหม แต่ขณะเดียวกัน เราก็ยังเป็นคนที่มีความฝันใฝ่และกำลังพยายามทำมันให้ได้ดีอยู่ ความฝันของออมตอนนี้คือได้อยู่กับเด็กและพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นผ่านองค์ประกอบเหล่านี้ เป็นจุดยืนอันแน่วแน่ที่ฉันชื่นชม หลงรัก และอยากบอกว่าออมกล้าหาญและสง่างามมาก

มันคงเป็นความกล้าหาญและสง่างามที่วันและวัยมอบให้แก่เราทุกคนแหละมั้ง...คิดว่านะ

No comments: