Tuesday, August 07, 2012

[บทความสัมภาษณ์] พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ - A man with brain

[บทความสัมภาษณ์]





Men's Health Thailand
คอลัมน์ MH Guy
Issue: July 2009
เรื่องโดย เจดีย์ (a.k.a. Tiktok)



พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
A man with brain

ถ้าคุณติดตามรายการโทรทัศน์ และนิตยสารต่างๆ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา คุณน่าจะคุ้นหน้าและชื่อของชายหนุ่มอายุ 28 ปีคนนี้มาบ้าง โดยตัวตนแง่มุมหนึ่งของ ทิม - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่นิตยสารหลายๆ เล่ม รวมถึงบทสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์นำเสนอนั้น มักสะท้อนภาพให้เราเห็นว่าหนุ่มคนนี้คือผู้ชายฉลาดที่มาพร้อมกับสมอง แน่นอนทีเดียวล่ะ ถ้าพิจารณาดูจากสถานภาพในปัจจุบันของเขา ที่กำลังศึกษาปริญญาโทถึงสองใบพร้อมกันอยู่ที่ Harvard University และ Massachusetts Institute of Technology (M.I.T.)  สหรัฐอเมริกา พร้อมกับดูแลกิจการบริษัทด้านการเกษตร 2 บริษัทที่มียอดขายมูลค่าพันล้านบาทต่อปี เราย่อมบรรยายถึงหนุ่มคนนี้ด้วยคำคุณศัพท์ใดไม่ได้ใจความเท่า ฉลาด เป็นแน่ ทว่า หลังจาก Men’s Health ได้ใช้เวลาพูดคุยกับเขาในบ่ายวันหนึ่ง เราพบว่า นอกจากฉลาดแล้ว หนุ่มบนปกของเราคนนี้ยังเป็นมนุษย์ที่แข็งแรงอีกด้วย ทั้งนี้คำว่า แข็งแรง ในความหมายที่ Men’s Health กำลังพูดถึงนี้ เราหมายความว่า เขามีร่างกายที่สมบูรณ์ดีเพราะออกกำลังกาย, มีความคิดและเป้าหมายชีวิตที่เข้มแข็งว่าอยากนำความรู้มาพัฒนาประเทศ, พร้อมๆ กับมีหัวใจแข็งแกร่งแต่อ่อนโยน ที่อยากเห็นสิ่งดีๆ เกิดขึ้นแก่ผู้คนบนโลก

นั่นเป็นที่มาที่เราตั้งชื่อบทสัมภาษณ์นี้สั้นๆ ว่า A man with brain

แต่แท้จริงแล้ว มันมาจากชื่อที่ยาวกว่านั้นว่า A man with brain, a man with health, and a man with heart ต่างหากล่ะครับ







Brain & Smart Part

ช่วงที่ Men’s Health ได้คุยกับหนุ่มทิมคนนี้ เป็นช่วงปิดเทอมหน้าร้อนของมหาวิทยาลัยที่อเมริกา โดยตอนนี้เขาเรียนปริญญาโทควบ 2 ใบ ใบหนึ่งด้านการเมืองการปกครอง สาขาสภาวะผู้นำ ที่ John F. Kennedy School of Government Harvard University และปริญญาโทอีกใบด้านบริหารธุรกิจที่ Sloan, M.I.T ซึ่งสำหรับคนที่เรียนจบปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ การเงินการธนาคาร ภาคภาษาอังกฤษ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างเขา เราไม่สงสัยว่าทำไมเขาเลือกเรียนต่อ MBA ที่ M.I.T อยู่แล้ว ทว่าเพราะอะไรทำให้เขาสนใจเรียนการเมืองที่ Harvard กันล่ะ?

หลังเรียนจบปริญญาตรี ผมได้เข้าทำงานภาคเอกชน 4 ปี จากนั้นก็ไปเกี่ยวข้องกับภาครัฐอีก 1 ปี แล้วสนใจอยากเรียนการเมืองการปกครอง เลือกที่ Harvard เพราะที่นี่เป็นแหล่งรวมคนเก่งๆ จากทั่วโลก ที่พูดนี่ยกเว้นผมนะ (ยิ้ม) คือผมมองว่า เราเรียนตรงนี้ จะได้ไม่ต้องเรียนกับอาจารย์แค่คนเดียว ทว่ายังสามารถเรียนรู้จากเพื่อนร่วมชั้นได้หมดเลย

อีกอย่างชีวิตผมอยู่เมืองนอกเสียเป็นส่วนใหญ่ ตอนมัธยมก็ดื้อจนที่บ้านส่งไปเรียนนิวซีแลนด์ แล้วคนที่ไปอยู่ต่างประเทศนานๆ คงรู้ว่า ยิ่งอยู่เมืองนอกก็ยิ่งคิดถึงบ้านเท่านั้น ยิ่งอยู่ห่างเมืองไทยเท่าไหร่ ยิ่งอยากรู้ว่า เมืองไทยเป็นยังไง วัฒนธรรม, ศิลปะ, และการเมืองเป็นอย่างไร แล้วตอนที่อยู่นิวซีแลนด์ เวลาบอกใครว่ามาจากเมืองไทย เค้าจะพูดแต่ว่ารู้จักพัฒน์พงศ์ หรืออะไรที่ไม่ดี แล้วพอมีวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2540 ประทศอย่างเกาหลีใต้ อินเดีย หรืออินโดนีเซีย ก็เจ๊งพร้อมเรา แต่ตอนนี้เค้าก็ไปไกลกว่าเราแล้ว มันก็เลยฝังว่าอยากนำความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่พอมีเข้ามาพัฒนาประเทศบ้าง เป็นฟันเฟืองเล็กๆ สักอันหนึ่ง แต่ว่าในสถานะไหนก็ไม่ได้คิด

แล้วก็คิดว่า เรื่องเศรษฐกิจน่าจะเป็นหัวใจหลักเรื่องนึงในการพัฒนาประเทศ แต่ถ้าเรารู้แต่ภาคเอกชน ก็อาจไม่ทั่วถึง หรือถ้ารู้แต่ภาครัฐ ไม่รู้เอกชนเลย ก็อาจออกนโยบายผิด มันก็เกลาไม่ถูกทิศทางเสียที ซึ่งผมอยากเห็นเหรียญทั้งสองด้าน เพราะว่าเราก็รู้อีกด้านนึงมาแล้ว เลยตัดสินใจไปเรียนการเมืองการปกครอง แต่หลังจากเรียนได้ไม่กี่เดือน ก็มีจุดเปลี่ยน คือคุณพ่อเสียหลังจากผมไปเรียนได้ไม่นาน เสียวันรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549”

จากการเสียชีวิตของคุณพ่อครั้งนั้น ทำให้หนุ่มทิมในวัย 26 ปี ต้องกลับมาดูแลกิจการของครอบครัว ที่ตอนนั้นกำลังก่อร่างสร้างบริษัทและมีหนี้เงินกู้ธนาคารที่เป็นตัวเลขสูงมาก ทว่าด้วยแนวคิดที่ว่า อย่าไปคิดอะไรมาก ก็ทำให้เขาพาบริษัทและทีมงานกว่า 200 ชีวิตที่เค้าเรียกว่า ครอบครัว พ้นวิกฤต และกลายมาเป็นบริษัทด้านการเกษตร ที่ปัจจุบันมียอดขายมูลค่าพันล้านบาทต่อปีได้

จริงๆ ช่วงนั้นผมก็ถือว่าได้นอนหลับเต็มอิ่มอยู่ตลอดเวลานะครับ ผมว่าในการแก้ปัญหา บางทีเราไม่รู้มากก็ดีนะ เพราะยิ่งรู้มากก็ยิ่งคิดไปล่วงหน้า ความทุกข์เกิดจาก 2 อย่างคือ มองไปข้างหน้ามากเกินไป หรือมองไปข้างหลังมากเกินไป ไม่อยู่กับปัจจุบัน สำหรับผม เชื่อว่า อย่าไปคิดมาก อะไรเกิดขึ้นดีหมด เพราะมีคนที่เค้าทุกข์ยากกว่าเราเยอะ อยู่กับปัจจุบันดีกว่า ตอนนั้นก็จัดการปัญหาไปเรื่อยๆ ตื่นเช้ามามีอะไรก็ทำไป เรียกว่า ตาบอดไม่กลัวเสือ





Health & Mind Part

                อีกด้านหนึ่งนอกจากฉลาดแล้ว หนุ่มคนนี้ยังเป็นหนุ่มที่เล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก เพราะคุณพ่อคุณแม่มักจะพาไปสปอร์ตคลับนั่นเอง

                “ความสนใจอื่นๆ ของผม คงเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป คือชอบเล่นกีฬา เล่นดนตรี ถ่ายรูป โดยกีฬานี่เล่นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว คือ คุณพ่อคุณแม่จะเอาไปทิ้งไว้ที่โปโล สปอร์ตคลับ ช่วง 8 โมงเช้า 2 ทุ่ม ค่อยมารับ ผมก็เล่นอยู่ที่นั่นแหละ ฟุตบอล สควอช แบดมินตัน ว่ายน้ำ ฟิตเนส ก็เล่นหมด เล่นไม่เก่งหรอกครับแต่ว่าสนุกที่จะเล่น แล้วตอนไปอเมริกา ก็จะเล่นควอชเยอะเป็นพิเศษ หน้าร้อนเน้นขี่จักรยานเสือภูเขา หน้าหนาวก็เล่นสโนว์บอร์ด โดยสโนว์บอร์ดนี่เริ่มเล่นตั้งแต่อยู่ที่นิวซีแลนด์ เพราะประเทศเค้าเงียบมาก ไม่มีอะไรทำ ก็เลยต้องออกกำลังกาย เล่นรักบี้ เล่นคริกเก็ตกับฝรั่งเค้าไป

 “ส่วนเรื่องแบ่งเวลาดูแลตัวเองนี่ ผมมองว่าวันนึงคนเรามีเวลา 24 ชั่วโมง  ก็แบ่งทำงาน 8 ชั่วโมง นอนพักผ่อน 8 ชั่วโมง เที่ยวอีก 8 ชั่วโมง ถ้าทำได้อย่างนี้มันจะเป็นชีวิตที่มีสมดุลนะ อีกอย่างคือทำจิตใจให้สบาย ฝรั่งเค้าวิจัยมาแล้ว ว่าโรคเกือบ 90% ของร่างกายมาจากจิตใจซะเป็นส่วนใหญ่ ถ้าจิตใจบอกว่าไม่สบาย ร่างกายก็ไม่สบาย นอกจากนี้ผมก็พยายามดูแลตัวเองโดยออกกำลังกายแต่พอดี ตอนนี้แก่แล้ว เข่าไม่ค่อยดี เล่นควอชกับฟุตบอลเยอะ ทำให้เข่าไม่ดี ตอนนี้ก็จะเล่นแต่พอประมาณๆ แล้วก็นอนเยอะๆ ผมใช้หลักคิดง่ายๆ ว่า เอาของดีเข้าตัว เอาของไม่ดีออก ของดีก็คืออาหารการกิน ส่วนของไม่ดีที่ต้องเอาออกก็คือพวกความคิดที่ไม่ดี รวมทั้งเหงื่อด้วย บางทีผมจะไปสตรีมนะ ผมชอบสตรีมมาก ยิ่งถ้าคนน้อยๆ จะไปนั่งสมาธิอยู่เงียบๆ คนเดียวในห้องสตรีม แล้วก็ให้เหงื่อออก

เอ...ฟังดูเหมือนหนุ่มคนนี้จะสนใจเรื่องธรรมะด้วย

                ก็ไม่ได้เว่อร์ขนาดนั้น อ่านบ้าง แต่ไม่ได้มีความรู้อะไรเยอะกว่าคนอื่น เวลามีปัญหาก็มักจะคิดอยู่เสมอว่าอย่าไปคิดอะไรมาก ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม คือคนส่วนใหญ่จะกลุ้มก่อน ไปกังวลกับอนาคคตเสียใหญ่โต หรือว่ากลุ้มเพราะกังวลกับสิ่งที่เคยเกิดในอดีต ผมก็เคยเป็น เพราะกลัวหมอฟันมาก เวลาจะไปหาหมอทีจะนั่งกังวลทั้งวัน เพื่อพบว่าไปแล้วหมอไม่อยู่ (หัวเราะ) เลยคิดได้ว่า แล้วที่กังวลมาทั้งหมดนี่ มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ทำให้ตอนนี้มองชีวิตว่าอย่าไปคิดมาก คิดมากไปมันไม่ช่วย อย่าไปกลัวสิ่งที่ยังไม่เกิดดีกว่าครับ



Heart &Sweet Part

ขึ้นต้นว่าเรื่องหัวใจ แน่นอนว่า เราต้องถามไถ่ถึงเรื่องความรัก ซึ่งแบ่งได้ทั้งความรักส่วนตัว และความรักต่อส่วนรวมที่ผสมปนเปในหัวใจของหนุ่มคนนี้

                ก็มีคนที่สนิทด้วยที่คบกันอยู่ (นางเอกสาวจากหนังเรื่องหนีตามกาลิเลโออย่าถามนะว่าคนไหน? :) แต่ว่ายังไม่อยากตอบหนักแน่นมากกว่านี้ เพราะว่าผมเป็นเด็กผู้ชายที่ไม่เหมือนกับเด็กผู้ชายคนอื่นทั่วไป ผมมีภาระเยอะ ต้องรับผิดชอบบริษัท 2 บริษัท, มหาวิทยาลัย 2 มหาวิทยาลัย, ดูแลคุณแม่ น้องชาย แล้วพนักงานอีก 200 คน เวลาที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งมีให้กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ก็ต้องหารสอง  กลับมาเมืองไทย วันอังคาร พฤหัสบดี เสาร์ นี่ ผมออกไปไหนไม่ได้ เพราะผมต้องอยู่กับคุณแม่ผม แถมปีนึงผมก็อยู่เมืองไทยแค่ 2 ครั้ง เลยไม่อยากให้เค้ามาลำบาก แต่ถ้ามีคนที่พร้อมจะลำบากไปกับผม ผมก็ยินดีที่จะดูแลเค้านะ ซึ่งกับคนที่คบอยู่ตอนนี้ เสน่ห์ของเค้าก็คือ รักครอบครัว ใจเย็น และเข้าใจเรา(ยิ้ม)

จบเรื่องความรักส่วนตัว มาสู่เรื่องความรักต่อส่วนรวม หนุ่มคนนี้ก็ได้เผยให้ฟังถึงความคิดและสิ่งที่เขาตั้งใจทำไว้ว่า
                ถ้าถามว่าจะเล่นการเมืองไหมนี่ ผมคิดว่าจะเล่นก็ต่อเมื่อสามารถช่วยเหลือประเทศได้มากกว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้ แต่ถ้าอยู่ภาคเอกชนแล้ว เราสามารถสร้างงานได้มากกว่า สร้าง GDPและสร้างมูลค่าเพิ่มให้ประเทศได้มากกว่าอยู่ภาคการเมือง ผมก็ขอเป็นเอกชนดีกว่า เพราะถ้าไปเป็นนักการเมืองที่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากกว่าการใส่สูทโก้ๆ ไปสภา แบบนั้นผมไม่เอา เพราะใจจริงแล้วผมสนใจเรื่องการพัฒนา มากกว่าเรื่องการเมืองนะ ผมสนใจเรื่องทำยังไงให้ความยากจนหมดไป ทำยังไงให้ความไม่เท่าเทียมกันหายไป

                “คือผมรู้สึกว่า ถ้าตัวเองต้องตายไป อยากให้คนอื่นจำเราในฐานะ Developer คือนักพัฒนา ผมคิดเสมอว่าเกิดมาเราก็ไม่มีอะไร ตายไปได้นุ่งกางเกงตัวเดียวก็กำไรแล้ว เลยไม่อยากเอาอะไรไป แต่อยากจะทิ้งความคิดหรือความรู้ไว้บนโลก ผมอยากเป็นเหมือนโรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีอเมริกา ที่ปฏิรูปอเมริกาได้, อยากเป็นเหมือนบ๊อบ มาร์เล่ย์ ที่ใช้ดนตรีในการสมานฉันท์ ทำให้ประเทศจาไมกาไม่แตกแยกกัน, อยากเป็นเหมือนมหาตมะ คานธี ที่ใช้สันติภาพในการสร้างอินเดียให้เป็นประเทศอย่างที่เป็นทุกวันนี้ ผมอยากเป็นอะไรที่ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่อย่างคนที่พูดมาก็ได้ แต่ว่าขอทำอะไรให้ความเป็นมนุษยชาติของโลกดีขึ้น ไม่ว่าจะโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะใช้ศาสตร์หรือใช้ศิลป์ก็ตาม


                เขาปิดท้ายประโยคด้วยคำตอบที่ไม่เพียงฟังดูเฉลียวฉลาด ทว่ายังเป็นคำตอบที่เปิดเผยให้เห็นหัวใจของคนพูดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย









MH Guy

3 สิ่งสำคัญในชีวิต
ครอบครัว, ครอบครัว, แล้วก็ครอบครัว

คนที่คุณชื่นชมบนโลกใบนี้
ชอบคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์, ประภาส ชลศรานนท์, บัณฑิต อึ้งรังษี, สุรชัย กิจเกษมสิน (เล็ก วงพราว),อองซาน ซูจี,ฟิเดล คาสโตร, Ajahn Brahm อดีตนักศึกษาจากมหาวิทยลัยเคมบริดจ์ ที่ค้นพบธรรมะแล้วบวชเป็นพระ ปัจจุบันพำนักอยู่ที่ออสเตรเลีย

อนาคตของเมืองไทยที่อยากเห็น
1)ความยากจนน้อยลง 2)ความเท่าเทียมมากขึ้น ไม่ใช่ว่า 10 %ของประชากรถือครอง 90 % ของความมั่งคั่งเอาไว้ คือมองว่า ไม่จำเป็นต้องเท่ากันเป๊ะ เพราะมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่อย่างน้อยอยากให้ลดลง ไม่อยากเห็นคนไม่มีอันจะกิน หรือว่าไม่อยากเห็นคนนอนหนาวตายในหน้าหนาว เรื่องนี้ผมงงมากว่ามันเป็นไปได้ยังไง? ในเมื่อเราบริจาคผ้าห่มกันทุกปี แล้วทำไมยังมีคนหนาวตายทุกปี แสดงว่ามันมีความเหลื่อมล้ำบางอย่าง

อนาคตเป้าหมายที่วางไว้
ภายใน 5 ปีนี้คือ 1)เรียนให้จบ 2)กลับมาดูแลแม่ 3)ทำบริษัทให้ดีขึ้นกว่านี้ ใหญ่กว่านี้ มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ แล้วก็มีความสุข ส่วนหลังจากนั้นก็คงกลับมาพัฒนาประเทศ แต่ว่ายังไม่ได้กำหนดสถานะว่าจะเป็นอะไร

ตัวตนของทิม
เป็นคนเรื่อยๆ ง่ายๆ อาจมีหลายมุมด้วยหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบ แต่เวลาเป็นนักเรียนนักศึกษา ผมจะเป็นตัวของตัวเราเอง ทว่าเราก็คงไม่เหมือนเด็กผู้ชายคนอื่นทั่วไปที่มีคุณพ่อ เพราะเราต้องมีความรับผิดชอบเยอะ ถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยนบุคลิก แต่ว่าในขณะเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะมีความรับผิดชอบสูง ต้องรับผิดชอบอะไรหลายๆ อย่างก็จริง แต่ก็ไม่อยากที่จะทิ้งความเป็นเด็กในตัวไป เพราะว่าการที่จะใช้ชีวิตตอนอายุเท่านี้ กับตอนที่อายุ 35 ปี มันไม่เหมือนกัน

ความเป็นเด็กที่ทิมยังคงรักษาไว้
ผมยังคงไปมาหาสู่กับเพื่อนฝูง ยังเล่นดนตรี ยังมีงานอดิเรก เพราะชีวิตคนเราไขน็อตแน่นมากเดี๋ยวมันพัง ให้มันมีหลวมๆ บ้างก็ได้ แล้วก็เที่ยวเยอะ เที่ยวต่างประเทศ เที่ยวต่างจังหวัด อาทิตย์ที่แล้วไปมา ภูเก็ต สิงห์บุรี อยุธยา กาญจนบุรี 4 ที่ใน 5 วัน กาญจนบุรีนี่เลยไทรโยคไป เกือบจะถึงพม่า ชอบมาก ผมชอบอยู่เงียบๆ ไม่ค่อยชอบอะไรวุ่นวายมาก 

No comments: