Tuesday, August 07, 2012

[บทความเขียนเอง] Health Feature: Life on High (Heels)


[บทความเขียนเอง]





Health Feature : Women's Health Thailand
Issue July 2011
เรื่อง Tiktok / ภาพ : Rodale, ณภัทร ระวีวัฒน์







Life on High (Heels)
สุขภาพบนส้นสูง ยิ่งสูงยิ่งหนาว?

รองเท้าส้นสูง เป็นทั้งสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงรู้สึกเซ็กซี่และเย้ายวน มีใครไม่หลงรักรองเท้าส้นสูงบ้างเหรอ? ในโลกสมัยใหม่ ผู้หญิงส่วนใหญ่ล้วนเคยครอบครองรองเท้าส้นสูงอย่างน้อยหนึ่งคู่ (และต้องเคยใส่มันอย่างน้อยหนึ่งครั้ง) แต่ความเซ็กซี่และเย้ายวนที่มากับความสูงนี้ ใช่ว่าจะมีแค่นี้ รองเท้าส้นสูงยังถูกนิยามถึงอำนาจและความมั่นใจของผู้หญิง ขณะเดียวกัน ก็มีการพูดถึงเรื่องสุขภาพที่เกิดจากการใส่รองเท้านี้ ในตอนที่ช่างทำรองเท้า ออกแบบรองเท้า เขาได้คิดถึง การปกป้องสุขภาพเป็นอันดับแรกหรือเปล่า? (หรือความสูงสง่าเป็นสิ่งแรกที่เขาคิดถึง?) วันนี้ Women’s Health พาคุณสาวๆ ไปรู้จักทุกแง่มุมของชีวิตบนรองเท้าส้นสูง ... มาดูกันสิว่า สุภาษิตไทยที่ว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” จะใช้ได้จริงกับรองเท้าสุดแสนเย้ายวนชนิดนี้ไหม?




ประวัติศาสตร์ส้นสูง

                ไม่มีใครรู้ว่าผู้คิดค้นรองเท้าส้นสูงคือใคร บางตำราบอกว่า รองเท้าส้นสูง (ที่ยกเท้าของผู้ใส่ให้สูงขึ้น แต่ไม่ได้มีรูปทรงแบบในปัจจุบัน) มีมาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ (3500 ปีก่อนคริสตกาล) บางคนให้เครดิตแก่ลีโอนาร์โด ดา วินชี (ค.ศ.1452-1519  ) ว่าเป็นผู้สร้างสรรค์ แต่ไม่ว่าจะรองเท้าส้นสูงจะออกมาจากมันสมองของใคร มันก็ได้กลายเป็นสิ่งประดิษฐ์สร้างอันอัจฉริยะไปแล้ว คิดดูสิคะ รองเท้าแค่ 2 ข้าง แต่สามารถทำให้ขาของผู้หญิงเรียวยาว และเต็มไปด้วยเสน่ห์เซ็กซี่เย้ายวนขึ้นมาได้ทันที ขนาดพระนางแคทเทอรีน เดอ เมดิซี ยังเลือกสวมรองเท้าส้นสูงสองนิ้วในงานพระราชพิธีอภิเษกสมรสของพระนางเพื่อให้ตัวสูงขึ้นในปี ค.ศ.1533  และหลังจากนั้นรองเท้าส้นสูงก็ได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นสูง จัดเป็นแฟชั่นของชายและหญิงชั้นสูงในศตวรรษที่ 17 และ 18 (ใช่แล้ว ในยุคก่อนหน้านี้ ผู้ชายใส่รองเท้าส้นสูงด้วย!) แต่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ที่เกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศสขึ้น การสวมใส่รองเท้าส้นสูงได้เสื่อมถอยลง ทว่ารองเท้าที่ทำให้เรียวขาของหญิงสาวเรียวงามนี้ก็กลับมาโลดแล่นในวงการแฟชั่นโลกอีกครั้งในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 และคราวนี้ มันกลายเป็นสมบัติเฉพาะตัวของหญิงสาวเท่านั้นแล้ว (ผู้ชายไม่ใส่ส้นสูงกันแล้วในยุคปัจจุบัน)

                นิยามของรองเท้าส้นสูงที่เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปนั้น คือรองเท้าที่ยกส้นเท้าให้สูงกว่านิ้วเท้านั่นเอง



ชนิดของรองเท้าสูงๆ ชนิดต่างๆ

                รองเท้าส้นสูงสามารถจัดประเภทได้หลายแบบ แบรนด์รองเท้าอย่าง Jimmy Choo และ Gucci จัดแบ่งรองเท้าตามความสูง โดยร้องเท้าที่ถือว่า “ส้นต่ำ” คือรองเท้าที่สูงน้อยกว่า 2.5 นิ้ว (6 เซนติเมตร) ขณะที่รองเท้าสูงระหว่า 2.5-3.5 นิ้ว (6-8.5 เซนติเมตร) ถือเป็นรองเท้า “ส้นกลาง” และรองเท้าที่สูงกว่านั้นจึงนับเป็น “ส้นสูง”

                ทว่านอกจากความสูงแล้ว เรายังสามารถจัดแบ่งประเภทของรองเท้าส้นสูงตามรูปลักษณ์ได้อีกด้วย โดยรองเท้าส้นสูงที่เห็นกันนั้น มีหลากหลายชนิด แต่ชนิดหลักๆ ที่นับเป็นแม่แบบของส้นสูงทั่วโลกนั้นมี 7 แบบ คุณนัทธนุช วงศ์พัวพันธ์ บรรณาธิการแฟชั่นของ Women’s Health จะมาแนะนำให้คุณสาวๆ รู้จักดังนี้

  • รองเท้าส้นสูงแบบ Cone – คือรองเท้าส้นสูงที่ตัวส้นจะมีลักษณะคล้ายโคนไอศกรีม คือตรงส่วนที่ติดกับส้นเท้านั้นกว้าง แต่จะแคบเรียวยาวลงมาเรื่อยๆ พอถึงส่วนส้นที่สัมผัสพื้นก็จะเรียวบางในที่สุด
  •  รองเท้าส้นสูงแบบ Kitten – คือรองเท้าส้นแหลม ที่มีความสูงระหว่าง 1 นิ้วครึ่ง – 2 นิ้ว หากสูงกว่านี้จะนับเป็น Stiletto
  • รองเท้าส้นสูงแบบ Prism – คือรองเท้าที่ตัวส้นมีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยมปริซึ่ม และตรงส่วนปลายส้นที่สัมผัสพื้นจะแบน
  • รองเท้าส้นสูงแบบ Spool – คือรองเท้าที่พื้นรองปลายเท้าและส้นเท้าจะกว้าง ส่วนพื้นตรงกลางเท้าจะแคบ
  • รองเท้าส้นสูงแบบ Stiletto – คือรองเท้าส้นเข็ม ที่มีความสูงเกิน 2 นิ้วขึ้นไป ทั้งนี้รองเท้าคัชชูมักจัดอยู่ในประเภทนี้
  • รองเท้าส้นสูงแบบ Wedge – คือรองเท้าส้นเตารีด รองเท้าที่เสริมความสูงตั้งแต่ส้นเท้าจนถึงปลายเท้า สะดวกต่อการเดินมากกว่ารองเท้าที่เสริมความสูงแต่เฉพาะส่วนส้น
  • รองเท้าส้นสูงแบบ Puppy – คือรองเท้าส้นตัน ที่ส้นรองเท้าจะคล้ายตึก มีความสูงและความกว้างของส้นประมาณ 2 นิ้ว

















ความสูงของรองเท้าส้นสูง

                ความสูงของรองเท้าส้นสูงที่นิยมผลิตกันนั้น มีตั้งแต่ 1 นิ้วขึ้นไป แบบที่นิยมสวมใส่คือ 1นิ้วครึ่งถึง 2 นิ้ว ส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะแนะนำให้ใส่รองเท้าสูง 2 นิ้ว เพราะปลอดภัยและคล่องตัวกว่า แต่รองเท้า 3-4 นิ้วก็ทำให้ดูสวยสง่า และก็พอจะยอมรับได้ จริงๆ แล้วผู้หญิงสามารถใส่รองเท้าส้นสูง 3-4 นิ้วทำกิจกรรมต่างๆ ประจำวันได้ แต่ไม่ควรเกิน 4-5 ชั่วโมง รองเท้าที่สูงเกิน 4 นิ้วนั้น ทำให้สูงสง่า และขโมยซีนทุกคนในงานปาร์ตี้ได้ (ดูเลดี้กาก้าเป็นตัวอย่างสิ) แต่รองเท้าส้นสูงที่สูงที่สุดในโลกนั้น คือ รองเท้าส้นเข็มสูง 16 นิ้ว ที่มีการเสริมความสูงด้านหน้า (แพลตฟอร์ม) 8 นิ้ว สีแดงแปร๊ด ... แต่ขอบอกว่า เดินลำบากขนาดนี้ (แถมรองเท้ายังไม่สวยอีกต่างหากแน่ะ) กลับมาใส่ส้นสูงพอประมาณ สวยแบบปลอดภัยไม่เสี่ยงดีที่สุดนะคะ








ส้นสูงกับสุขภาพ : ยิ่งสูงยิ่งเสี่ยง?

                รองเท้าส้นสูงนั้น ได้รับการถกเถียงเรื่องประเด็นสุขภาพมานานแล้ว แน่ล่ะว่า รองเท้าชนิดนี้ (ทำให้ขาหญิงสาวอย่างเราเรียวยาว และเต็มไปด้วยเสน่ห์ชวนมองชะมัดยาด) แต่ยอมรับเถอะว่า รองเท้าอันเต็มไปด้วยเวทย์มนต์นี้ ก็แผลงฤทธิ์จิกกัดเท้าเราได้มากเช่นกัน ที่เป็นเช่นนั้นน่ะมีเหตุผลนะคะ “รองเท้าที่สูง 1 นิ้วนั้นสามารถเพิ่มแรงกดให้กับเท้าได้ประมาณ 22 เปอร์เซ็นต์ ส่วนส้นสูง 2 นิ้วสามารถเพิ่มแรงกด 57 เปอร์เซ็นต์ และ 3 นิ้วเพิ่มแรงกดถึงตั้ง 76 เปอร์เซ็นต์แน่ะ” คุณหมอสตีเวน ไรกิน (Steven Raikin) ศัลยแพทย์กระดูกและข้อแห่ง Rothman Institute เมืองฟิลาเดเฟีย อเมริกา เปิดเผยให้รู้ ซึ่งหากเราสวมรองเท้าส้นสูงบ่อยๆ และปล่อยให้ปลายเท้าถูกบีบอัดกดทับ ในระยะยาวนั้นเท้าของเราอาจเกิดเล็บเท้าขบ หูดหรือตาปลาที่ฝ่าเท้า เส้นประสาทเท้าอักเสบ เอ็นข้อเท้าอักเสบ กล้ามเนื้อน่อง เอ็นร้อยหวายหดรั้ง หรือนิ้วเท้าหงิกงอผิดปกติได้

                ในกรณีอย่างนี้ รองเท้าที่มีการเสริมความสูงด้านหน้า (แพลตฟอร์ม) หรือรองเท้าส้นเตารีด จะปราณีต่อเท้าสุภาพสตรีของเราหน่อยนึง เรียกว่าใส่แล้วไม่บีบอัด ทว่าความลาดเอียงของพื้นรองเท้าก็ยังไม่เป็นไปตามธรรมชาติของรูปเท้าอยู่ดี คุณหมอแคทเธอรีน ชอง (Catherine Cheung) ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ แห่งเมืองซานฟรานซิสโก อเมริกา บอกเล่าเก้าสิบให้ฟัง อ้าว! แล้วอย่างนี้ เราควรใส่ส้นสูงต่อไปดีไหมนี่? คำตอบอยู่ด้านล่างนี้แล้วค่ะ




แล้วจะสวยเซ็กซี่อย่างไรไม่ให้เสี่ยงล่ะ

                อ้าว! ถ้ารองเท้าส้นสูงโหดร้ายขนาดนี้ เรามิต้องเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วโละรองเท้าสวยๆ เหล่านี้ขว้างทิ้ง (พร้อมน้ำตาไหลด้วยความเสียดาย) และแบรนด์รองเท้าชั้นนำไม่ต้องปิดกิจการเลยหรือ? ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ หนทางในการประณีประนอมระหว่างความอยากสวย และสุขภาพที่ดีมีอยู่เสมอ แค่ลองทำตามทิปเหล่านี้ดู

  • หลีกเลี่ยงการยืนหรือเดินในรองเท้าที่สูงกว่า 2 นิ้ว ติดต่อกันเกิน 4-5 ชั่วโมง คุณหมอธนัตถ์ วัลลีนุกูล ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ แห่งโรงพยาบาลกรุงเทพ
  • จำไว้ว่า เท้านั้นสามารถขยายได้เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ (โดยเฉพาะหลังจากตั้งครรภ์) และเท้าจะขยายตัวมากที่สุดในตอนเย็น ดังนั้นถ้าจะซื้อรองเท้าควรเลือกซื้อเวลานี้ แล้วควรวัดขนาดเท้าทุกปี เพราะไซส์ของเท้าอาจเปลี่ยนแปลง คุณจะได้ไม่ซื้อรองเท้าผิดไซส์มาอย่างไรล่ะคะ
  • ถ้าอยากปกป้องเท้า ควรใส่แผ่นรองใต้ฝ่าเท้า (orthopedic slip) หรือแผ่นลดอาการปวดเมื่อย (gel pad) จะช่วยปกป้องเท้าขณะเดินได้
  • แม้เท้าจะเป็นอวัยวะส่วนที่มีไว้รองรับน้ำหนักตัวอยู่แล้ว แต่การมีน้ำหนักตัวที่มากเกินไปก็ส่งผลเสียต่อเท้าได้เช่นกัน “ถ้าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 1 ปอนด์ หมายถึงข้อเท้าคุณจะได้รับแรงกดทับเพิ่มขึ้น 3 ปอนด์” คุณหมอสตีเวน ไรกิน บอก นับเป็นเหตุผลที่เข้าท่ามากในการควบคุมน้ำหนัก เพราะจะได้ทั้งสุขภาพกายที่ดี และข้อเท้าจะได้ไม่เจ็บปวดไงล่ะคะ








ระวัง! โรคที่เกิดจากการใส่ส้นสูงมากเกินไป

เหรียญมีสองด้าน ส้นสูงมีประโยชน์ตรงทำให้สาวๆ ดูขาเรียวยาว เซ็กซี่ เย้ายวนขึ้นก็จริง แต่ถ้าใส่แบบไม่ถูกต้อง เหมาะสม ก็อาจนำมาซึ่งโรคภัยต่างๆ ได้ ไล่ไปตั้งแต่ เส้นเลือดขอด มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เกิดโรคข้อนิ้วหัวแม่เท้าเสื่อม แข็ง เก ผิดรูป หรือ ซ้อน รวมทั้งอาจเกิดรอยด้านผิวหนังถูกเสียดสี เป็นตาปลาเกิดก้อนแข็งๆ ปูดนูนขึ้น เจ็บบริเวณเล็บ หรือเล็บขบ แต่อยากจะบอก่า ยังมีอันตรายบางอย่างที่สาวๆ อาจคาดไม่ถึง โดยการสวมส้นสูงและปล่อยให้เส้นเลือดขอดนั้น อาจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดลิ่มเลือดหลุดไปที่หัวใจได้ด้วยอีกต่างหาก (โอ้! น่ากลัวมาก)

แต่อย่าเพิ่งกังวลไป สำหรับสาวๆ ที่มีความจำเป็นต้องใส่และยืนบนรองเท้าส้นสูงนาวๆ และใช้งานเท้าแบบจัดเต็มนั้น รศ.นพ.คมกริช ฐานิสโร แห่งโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ ได้แนะนำว่า คุณสามารถดูแลเท้าแบบง่ายๆ ที่บ้านได้ด้วยการแช่เท้าในน้ำอุ่นจัดประมาณ 10-15 นาที หรือลองทำสปาเท้าดูก็ได้ เพราะมันทำง่ายมาก แค่มีมะขามเปียก สบู่เหลวหรือสบู่ก้อน แปรงสีฟันเก่าที่เลิกใช้ สำลี โทนเนอร์ และโลชั่นน้ำนม ก็สามารถทำได้แล้ว เริ่มจากการขัดมะขามเปียก ตามด้วยสบู่ ขัดไปเรื่อยๆ ให้รู้สึกผ่อนคลาย นำแปรงสีฟันมาถูกบริเวณรอยดำ รอยด้าน จากนั้นใช้สำลีชุบโทนเนอร์ขัดบริเวณที่ด้าน เช่น ส้นเท้า สุดท้ายค่อยลงโลชั่นน้ำนมให้ทั่ว คุณจะได้เท้าที่สะอาด ผ่อนคลาย หากพอมีเวลาควรทำสปาเท้าอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์


หรือถ้าสวมใส่รองเท้าแล้วปวดเท้ามากไป อย่าลืมยืดกล้ามเนื้อขา ด้วย 3 วิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้

1/ ออกแรงดันกำแพงโดยที่ขาข้างที่ต้องการที่จะทำการยืดอยู่ด้านหลัง ให้ขาอีกข้างหนึ่งที่อยู่ด้านหน้างอ โดยที่ให้ส้นเท้าทั้ง 2 ข้างอยู่บนพื้น
2/ ยืนด้วยฝ่าเท้าโดยให้ปลายเท้าอยู่บนบันไดขั้นที่สูงกว่า และพยายามนำส้นเท้ายืดลงด้านล่างของขั้นบันได้ให้ได้มากที่สุด
3/ ใช้ผ้าหนาๆสอดไปใต้ฝ่าเท้าในท่าที่นั่งยืดขา ค่อยๆดึงผ้าจนกระทั่งรู้สึกตึงๆ ฝ่าเท้า









ข้อแนะนำสำหรับการเลือกรองเท้า

โดย คุณหมอธนัตถ์ วัลลีนุกูล ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลกรุงเทพ


1.       บริเวณด้านหน้าของรองเท้า (toebox) ต้องให้มีความกว้างพอประมาณ ซึ่งสามารถขยับนิ้วเท้าขึ้น-ลงได้ขณะใส่รองเท้าได้โดยไม่คับแคบจนเกินไป  แนะนำให้ทดลองขนาดของรองเท้าในช่วงค่ำของวัน ซึ่งขนาดของเท้าจะใหญ่ที่สุด
2.       บริเวณพื้นรองด้านในรองเท้า (insole) ควรต้องมีความนุ่ม อาจพิจารณาเสริมตัวรอง (pad) ให้เข้าได้กับรูปทรงของเท้าในผู้ที่มีอุ้งเท้าผิดปกติ
3.       บริเวณด้านหลังของรองเท้า (counter) ควรมีความแข็งแรงและบุด้วยวัสดุที่นุ่ม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเสียดสีบริเวณผิวหนัง
4.       บริเวณส้นเท้า (heel) ไม่ควรใส่รองเท้าที่มีส้นสูงเกิน 2 ¼ นิ้ว  ถ้ามีความจำเป็นต้องใส่รองเท้าที่มีส้นสูงกว่านี้แนะนำให้จำกัดช่วงเวลาที่ต้องใช้เท่าที่จำเป็น โดยไม่เกิน 4-5 ชั่วโมง/วัน
5.       แนะนำให้เลือกรองเท้าที่ตัดเย็บด้วยวัสดุประเภทหนังหรือเป็นผ้าใยสังเคราะห์ ซึ่งสามารถปรับระบายอากาศได้ดี เพื่อป้องกันเท้าอับชื้น
6.       แนะนำให้เลือกรองเท้าที่มีน้ำหนักเหมาะสม ซึ่งไม่ควรเกิน ½ kg สำหรับรองเท้า 1 ข้าง และสิ่งที่สำคัญ คือ ควรเลือกรองเท้าที่มีส่วนพื้น (outsole) เรียบและไม่เกิดการลื่นไถลโดยง่ายขณะเดินเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุลื่นล้ม




แล้วส้นสูงดีต่อเซ็กซ์จริงหรือ?

                สาวๆ หลายคนอาจจะหูผึ่งกับงานวิจัยชิ้นนี้ ที่บอกว่า ส้นสูงดีต่อเซ็กซ์ ทั้งนี้ คุณหมอมาเรีย เชอร์รูโต้ (Maria Cerruto) จากอิตาลี ได้เปิดเผยงานวิจัยปี 2008 ว่า การสวมใส่รองเท้าส้นสูง (โดยเฉพาะส้นเข็มนั้น) จะทำให้เซ็กซ์ของสาวๆ เริ่ดขึ้น เพราะท่าทางการทรงตัวบนส้นสูงของผู้หญิงนั้น มีส่วนช่วยไปกระตุ้นการทำงานของกระแสประสาทในกล้ามเนื้อตรงกระดูกเชิงกราน ทำให้ในระยะยาวกล้ามเนื้อตรงกระดูกเชิงกรานจะมีความแข็งแรงและยืดหดตัวได้ดีนั่นเอง งานวิจัยนี้ทำการศึกษาในผู้หญิง 66 คน ที่อายุต่ำกว่า 50 ปี ที่ใส่รองเท้าที่มีมุมเอียงที่ 15 องศากับระดับพื้นราบ หรือรองเท้าที่มีส้นสูงประมาณ 2 นิ้ว โดยพบว่าสาวๆ จะมีบุคลิกภาพที่ดูดีเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนที่ใส่รองเท้าราบแบนอีกด้วย

                แม้การสวมใส่รองเท้าส้นสูงอาจจะดีต่อกระดูกเชิงกรานจริง แต่อย่าลืมว่า ถ้าใส่บ่อยเกินไปไม่บันยะบันยัง มันก็ร้ายต่อหลัง, น่อง, เข่า, และเท้าได้ ดังนั้นควรเลือกสวมใส่ให้เหมาะสม ส่วนสาวที่โปรดปรานรองเท้าส้นเตี้ยก็อย่าเพิ่งตกใจไปว่า ตัวเองจะอดมีเซ็กซ์เริ่ดกับใครเขา หนทางการมีเซ็กซ์ดีๆ ยังมีอีกมาก อ่านเคล็ดลับดีๆ ได้จาก Sex & Love เซ็กชั่นของ Women’s Health ได้เลยค่ะ ^^






______________________________________

เต้นบนรองเท้าสูง  ทำได้ไงนี่?
       
                คุณเคยประหลาดใจไหมว่า ทำไมนักร้องสาวสะโพกบึมอย่าง บียอนเซ่ หรือคนแปลกประหลาดอย่างเลดี้กาก้า ถึงเต้นส่ายเอวบนรองเท้าส้นสูงได้ หรือแม้กระทั่งเกิร์ลกรุ๊ปจากเกาหลีใต้ ที่เห็นเต้นท่าน่ารักน่าชังพลางยิ้มแย้มบนรองเท้าส้นสูงตลอดเวลา ถ้าเราอยากเต้นบนรองเท้าส้นสูง (ให้ปลอดภัย) ได้อย่างคนเหล่านี้ มีทิปอะไรช่วยได้บ้าง Women’s Health มีคำแนะนำจาก ออกัส ทรงเกียรติธนา ครูสอนเต้นระบำหน้าท้อง/นักออกแบบท่าเต้นโฆษณา/เจ้าของสตูดิโอเต้นรำ มาฝากกัน







How to dance on High Heels

1.)ควรเลือกรองเท้าที่มีขนาดพอดีกับเท้าของเรา ต้องลองก่อนซื้อทุกครั้ง ต่อให้สวยแค่ไหน ราคาถูกแค่ไหน แต่ถ้าห้ามลองก็จบกัน เพราะรองเท้าแต่ละคู่อาจจะเหมาะหรือไม่เหมาะกับรูปเท้าของเราก็เป็นได้ บางคนอาจมีหน้าเท้ากว้าง อาจจะรู้สึกเจ็บถ้าใส่รองเท้าแบบหัวปิดหรือบีบช่วงหน้าเท้า อย่าว่าแต่เต้นเลย ขนาดเดินยังทรมาน ดังนั้นต้องลองรองเท้าทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ

2.)รองเท้าส้นสูงสำหรับใส่เต้นที่ดีส่วนมากควรจะสั่งตัด ซึ่งปัจจุบันจะมีร้านที่ขายรองเท้าสำหรับเต้นโดยเฉพาะ ซึ่งมักจะไม่มีปัญหาในการทรงตัวแน่นอน เพราะพื้นรองเท้าจะไม่แข็งเกินไป ทำให้ขยับเท้าได้สบาย แต่ราคาอาจจะสูงและรูปแบบไม่ได้หลากหลายถูกใจเรานัก ถ้าอยากซื้อรองเท้าแฟชั่นทั่วไปตามท้องตลาดหรือห้างสรรพสินค้า ควรดูว่าส้นไม่ควรเล็กหรือเป็นส้นซูเปอร์เข็มเกินไป แต่ก็ไม่ควรจะเป็นส้นตึกเช่นเดียวกัน และที่สำคัญควรหารองเท้าที่มีการเสริมความสูงด้านหน้า (แพลตฟอร์ม) เพราะจะช่วยลดการเกร็งขาลงได้ ไม่อย่างนั้น เต้นไม่เกิน 2 เพลง รับรองตะคริวกินแน่ๆค่ะ

3.)เทคนิคการเลือกรองเท้า สำคัญมากๆ เลยที่ต้องเป็นรองเท้าที่ไม่เปิดส้น เดี๋ยวเต้นไปก็จะหลุดไป ถ้าเกิดคิดว่าจะเต้นเอาตาย ห้ามใส่รองเท้าปิดส้นค่ะ ปกติเขาจะใส่รองเท้าที่มีตัวล็อกข้อเท้าไว้ คัชชูนี่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่แนะนำให้ใส่เต้นนะคะ

4.)เรื่องความสูงของส้นเท้า แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน สำหรับผู้เริ่มเต้นบนส้นสูงใหม่ๆ ใส่ 2 นิ้วเต้นได้นี่ก็หรูแล้วค่ะ ที่ตัวเองใส่ประจำคือ 3-4 นิ้ว แต่ถ้าเกิน 3 นิ้วควรจะมีแพลตฟอร์มเพื่อไม่ให้เท้าต้องลาดเอียงเกินไป

5.)วิธีฝึกการทรงตัว เวลาเราใส่ส้นสูงที่ไม่มีแพลตฟอร์ม ตัวเราจะทิ้งไปข้างหน้า (ลงน้ำหนักที่นิ้วเท้า) ถ้าไม่ค่อยได้ใส่ส้นสูงบ่อยๆ ต้องฝึกทรงตัวและเดินหน้ากระจกก่อน พยายามทรงตัวให้ตรง อย่าทิ้งตัวไปข้างหน้ามากเกินไป เคล็ดลับคือต้องยืดขาให้ตึง ไม่งั้นเข่าจะงอ แล้วจะเป็นการทิ้งน้ำหนักลงน่องกับเข่ามากเกินไป น่องจะเกร็งและปวดเข่ามากขึ้นได้ พอทรงตัวได้แล้ว ก็ฝึกเต้นให้ชำนาญ ถ้าลองจากส้นสูงแค่ 1-2 นิ้วก่อน ก็ไม่ยากค่ะ

6.)ก่อนและหลังใส่ส้นสูง ควรยืดกล้ามเนื้อต้นขาก่อน จะทำให้ยืนได้นานขึ้น (จริงๆ นะคะ) มันเหมือนเราได้ยืดบริหารกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อพร้อมออกแรง ถ้ากล้ามเนื้อขาไม่พร้อมทำงาน จะเป็นตะคริวได้


ทิปเล็กๆ

  • หัดเต้นบนรองเท้าส้นเตี้ยๆ (1-2 นิ้ว) ก่อนให้คล่องแล้วค่อยขยับความสูงขึ้น มืออาชีพจริงๆ ก็ใส่ประมาณ 3-4 นิ้ว เราไม่ใส่สูงกว่านั้น (เลดี้กาก้าคือข้อยกเว้นของทุกสิ่งอย่าง)
  • สวมรองเท้าส้นสูงที่มีพื้นรองเท้ากว้าง เพราะเราจะยืนได้มั่นคงง่ายขึ้น
  • หัดเต้นอย่างช้าๆ ก่อน อย่าเพิ่งโหมกระหน่ำฮาร์ดคอร์ เกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีที่เห็นเต้นกันบ้าพลังนั่น เบื้องหลังเขาฝึกนานมาก แถมเอาพลาสเตอร์ยาพันนิ้วเท้าทุกคนแหละค่ะ



___________________________________


Test andTry







                ซีรีย์เกาหลี Flower Boys (F4) เคยกล่าวว่า “รองเท้าดีๆ จะนำพาเราไปในที่ดีๆ” ถ้าเชื่อตามนี้ แปลว่าชีวิตเราควรต้องซื้อแต่รองเท้าราคาสูงหรือเปล่านะ? นั่นน่ะสิ อยากรู้จังว่า รองเท้าราคาหลักร้อยบาท (199 ของชาวเรา) นั้นจะแตกต่างกับรองเท้าหลักพัน และหลักหมื่นบาทแค่ไหน เราเลยทำการทดสอบขึ้น โดยนำรองเท้า 3 คู่ ต่างราคามาทำกิจกรรมต่างๆ นานา ตั้งแต่เดินว่อนรอบออฟฟิศ, เดินข้ามถนนไปซื้อกาแฟตึกฝั่งตรงข้าม, หรือแม้กระทั่งการเดินขึ้นลงบันได (ช่วยออฟฟิศประหยัดไฟไงคะ) ผลของทั้ง 3 คู่ให้ความคล่องตัว, ความมั่นคงขณะย่างก้าว, และความสะดวกสบายแตกต่างกันแค่ไหนนะ มา Test and Try กันเลยดีกว่าค่ะ


1)คู่แรก : คัชชู 199 บาท ส้นสูง 3 นิ้ว

จากการลองสวมรองเท้าเดินว่อนรอบออฟฟิศ เดินข้ามถนนไปซื้อกาแฟตึกฝั่งตรงข้าม และเดินขึ้นลงบันได ผู้หญิงส่วนใหญ่บอกว่า ราคา 199 สูง 3 นิ้วนี่ ใช้เดินไปเดินมาในออฟฟิศได้อยู่ แต่ส้นของรองเท้าดูไม่มั่นคงนิดหน่อย พื้นรองเท้าก็ไม่นิ่ม รู้สึกได้ถึงเหล็กที่รองรับอยู่ใต้เท้า ทำให้เวลาเดินจะเหมือนมีอะไรมาทิ่มๆ ถ้าเดินนานๆ อาจปวดหัวได้ อ้อๆ มีกัดเท้าด้วยนิดหน่อยสำหรับการใส่ครั้งแรก แต่ถ้าจะให้ยืนและเดินทั้งวันบนรองเท้าคู่นี้คงขอบาย เพราะความนุ่มนิ่มและความมั่นคงเป็นสิ่งที่ผู้หญิง Women’s Health ให้ความใส่ใจเป็นอันดับต้น แต่ถ้าใส่ขำๆ แล้วเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะอีกที อันนี้น่าสนค่ะ
สรุปว่า ถูกดี แต่ถ้าทำงานที่ต้องยืนและเดินนานๆ อาจต้องขอบาย



2)คู่สอง : คัชชูราคาหลักพัน ส้นสูง 4 นิ้ว ของ ALDO

จากการลองสวมรองเท้าเดินว่อนรอบออฟฟิศ เดินข้ามถนนไปซื้อกาแฟตึกฝั่งตรงข้าม และเดินขึ้นลงบันได ผู้หญิงส่วนใหญ่บอกว่า รองเท้าส้นสูง 4 นิ้วของ ALDO นี่ ส้นรองเท้ามั่นคง ย่างก้าวได้อย่างมั่นใจหายห่วง แถมพื้นรองเท้าก็นิ่มกว่า ไม่ค่อยรู้สึกถึงเหล็กหรืออะไรที่มันรบกวนตรงฝ่าเท้า (พวกด้ายเย็บต่างๆ) ที่แตกต่างคือ สังเกตว่าจะมีแผ่นกันกระแทก (cushion) ตรงพื้นรองเท้าให้ด้ว (รู้สึกได้) แต่บริเวณด้านหลังของรองเท้า (counter) มันโค้งแหลมไปหน่อย ทำให้เวลาสวมเท้าลงไปแล้วรู้สึกว่ามันเสียดสีเท้าเล็กน้อย แต่พอเปลี่ยนคู่ไปลองคู่ที่ด้านหลังของรองเท้าโค้งมน ก็ไม่เสียดสีนะคะ คิดว่าเป็นที่ดีไซน์ของรองเท้าบางคู่มากกว่า
สรุปว่า สาวๆ Women’s Health ชอบทีเดียว ใส่แล้วสูงสวย เดินได้มั่นคงปลอดภัย แถมนุ่มนิ่มด้วย



3)คู่สาม : คัชชูราคาหลักหมื่น ส้นสูงมีสายรัดข้อเท้า 4 นิ้ว ของ Jimmy Choo

จากการลองสวมรองเท้าเดินว่อนรอบออฟฟิศ เดินข้ามถนนไปซื้อกาแฟตึกฝั่งตรงข้าม และเดินขึ้นลงบันได ผู้หญิงส่วนใหญ่บอกว่า รองเท้าส้นสูง 4 นิ้ว (มีสายรัดข้อ) ของ Jimmy Choo นี่ มั่นคง และทรงตัวได้สบายสุดๆ พื้นรองเท้าก็นิ่มจริง เขาบุพื้นได้ดีมาก เก็บรายละเอียดได้ดีจนไม่รู้สึกถึงเหล็กหรือด้ายเย็บต่างๆ เลย อีกอยาง บังเอิญว่าคู่ที่ลองนั้น บริเวณด้านหลังของรองเท้า (counter) มันโค้งมนด้วย เลยไม่กัดและไม่เสียดสีหลังเท้าเลย สำหรับการเปลี่ยนรูปลักษณ์นั้น ใส่แล้วรู้สึกว่าเดินได้สง่าผ่าเผยมากขึ้น เซ็กซี่หน่อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นจิตวิทยาที่คิดไปเองรึเปล่า :)

สรุปว่า ขอตอบเลียนแบบหนังสือ The Little Black Book of Style ของ นีนา การ์เซีย (Nina Garcia) แล้วกันนะคะ “Jimmy Choo เซ็กซี่มากๆ และใส่สบายอย่างที่สุด สำหรับสาวที่ชอบเปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวจริง”






________________________________________



ส้นสูงกับรถยนต์ : ขับได้หรือไม่?


ใส่ส้นสูงขับรถยนต์นั้นย่อมไม่สบายเท้า ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านก็ออกมาแนะนำไม่ว่างเว้นว่า “มันไม่ปลอดภัยสักเท่าไหร่” ซึ่งก็เป็นความจริงค่ะ ใส่ส้นสูงขับรถนั้น มันไม่สะดวกหรอกนะ แถมยังปวดเมื่อยและตึงข้อเท้าอีกต่างหาก แต่ก็มีสาวๆ หลายคนที่ชอบเหยียบคันเร่งโดยมีรองเท้าส้นสูงติดกายอยู่ โดยเฉพาะสาวๆ ในอเมริกานั้นก็มีจำนวนเยอะทีเดียว แบรนด์รถยนต์ชั้นนำอย่างเชฟโรเลต อาจเห็นว่าห้ามไม่ได้ ก็เลยเลือกออกแบบรถมาอำนวยความสะดวกสำหรับคนชอบใส่ส้นสูงขับรถเสียเลย โดยรถรุ่นนี้คือ เชฟโรเลต อิควิน็อกซ์ที่ดีไซน์มาตอบสนองการขับขี่ของสุภาพสตรีที่สวมใส่รองเท้าส้นสูงโดยเฉพาะ โดยรถถูกออกแบบให้คันเร่งมีรูปร่างโค้งเว้าและได้รับการติดตั้งให้ใกล้ชิดกับผู้ขับมากขึ้น ซึ่งการออกแบบดังกล่าวยังช่วยลดอาการปวดเมื่อยและอาการตึงของข้อเท้าขณะใส่รองเท้าส้นสูงในขณะขับรถได้อีกด้วย

ขอบอกก่อนว่ารถรุ่นนี้ยังไม่มีจำหน่ายในไทยนะคะ ดังนั้นรับฟังไว้เป็นข้อมูลดีกว่า อย่าเพิ่งคิดทำซิ่งบนส้นสูงเลย สวมส้นสูงไว้เดินเก๋ๆ อวดหนุ่มก็น่าจะพอแล้วล่ะค่ะ





___________________________________________________




4 ท่าเพื่อช่วยขจัดปัญหาอาการปวดขาจากการใส่ส้นสูง

ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)


 1)ท่าแรก นั่งพับขา แยกปลายเท้าออกให้ก้นติดพื้น มือจับฝ่าเท้าทั้งสองข้าง หันหัวแม่มือไปทางส้นเท้าและกดลงเบาๆ เหยียดแขนให้ตรง หายใจเข้าและออกช้าๆ พร้อมเอนตัวไปด้านหลัง ค้างไว้นับ 1-10 ค่อยคืนตัวกลับท่าเริ่มต้น

 2)ท่าที่สอง นั่งไขว้ขาชันเข่ามือจับขาทั้งสองข้าง หายใจเข้าช้าๆ พร้อมแยกเข่าออกจากัน ขณะเดียวกันให้ใช้มือทั้งสองออกแรงต้านขาไว้ หายใจ เข้าอีกครั้ง นับ 1-10 ค่อยหายใจออก

 3)ท่าที่สาม นั่งเหยียดขาข้างที่มีอาการปวดเข่า จากนั้นไขว้ขาอีกข้างทับบนเข่าข้างที่เจ็บ วางมือทั้งสองข้างราบกับพื้นข้างลำตัว เหยียดแขนตรง หายใจเข้าและออกช้าๆ พร้อมไถมือไปด้านหน้าจนสุดเท่าที่ทำได้ จนรู้สึกว่าขาที่ทับเข่าตึง จึงค่อยดึงมือกลับ

 4)ท่าที่สี่  ยืนตรงพิงกำแพง ไขว้ขาขวาทับขาซ้าย ใช้มือซ้ายดึงข้อเท้าขวาขึ้น มือขวากดเข่าขวาหายใจเข้าลึกๆ พร้อมยืดหลังให้ตรงที่สุด จากนั้นให้หายใจออกช้าๆ พร้อมหย่อนเข่าซ้าย ขณะเดียวกันมือขวากดเข่าขวาลง มือซ้ายออกแรงดึงข้อเท้าเท่าที่ทำได้ หายใจเข้าพร้อมยืดขาซ้าย ขึ้นตรง ค่อยๆ ผ่อนมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็สลับขาเป็นไขว้ขาซ้ายทับขาขวา ใช้มือขวาดึงข้อเท้าซ้ายขึ้น มือซ้ายกดเข่าซ้ายหายใจ เข้าลึกๆ พร้อมยืดหลังให้ตรงที่สุด จากนั้นให้หายใจออกช้าๆ พร้อมหย่อนเข่าซ้าย ขณะเดียวกันมือขวากดเข่าขวาลง มือซ้ายออกแรงดึงข้อเท้าเท่าที่ทำได้ หายใจเข้าพร้อมยืดขาซ้าย ขึ้นตรง ค่อยๆ ผ่อนมือทั้งสองข้าง




No comments: